เป็นหนึ่งในเรื่องที่ถกเถียงกันในสังคมไทยตลอดหลายปีที่ผ่านมากับการ “ห้ามโฆษณาน้ำเมา” ระหว่างฝ่ายสนับสนุนที่เห็นว่าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์คือบ่อเกิดของสิ่งเลวร้ายนานัปการ จึงต้องควบคุมไม่ให้เห็นว่าเป็นสินค้าปกติ กับฝ่ายคัดค้านที่เห็นว่าการดื่มและการพูดถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นสิทธิและรสนิยมส่วนบุคคล อีกทั้งกฎหมายที่ออกมาควบคุมยังกลายเป็นการสร้างความเหลื่อมล้ำระหว่างผู้ประกอบการรายใหญ่กับรายย่อย จนมีการตั้งโต๊ะรณรงค์ รวบรวมรายชื่อให้ครบ 1 หมื่นรายชื่อ ตามช่องทางแก้ไขกฎหมายที่รัฐธรรมนูญฉบับ 2560 เปิดไว้
ในการเสวนา (ออนไลน์) หัวข้อ “ใครได้ใครเสีย กฎหมายควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในยุค COVID-19” จัดโดยเฟซบุ๊คแฟนเพจ “เรื่องเหล้ารอบโลก” เมื่อเร็วๆ นี้ คำรณ ชูเดชา ผู้ประสานงานเครือข่ายเฝ้าระวังธุรกิจสุรา กล่าวว่า ประเทศไทยมีการรับรองการผลิตและขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มาตั้งแต่ปี 2493 แต่ยังไม่มีการควบคุมจนเริ่มเห็นผลกระทบต่อสังคม กระทั่งมีการออกกฎหมายควบคุม คือ พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ.2551
โดยกฎหมายนี้ควบคุม 6 เรื่องหลักคือ 1.สถานที่ห้ามขาย 2.วันและเวลาห้ามขาย 3.อายุของคนที่ซื้อเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้ 4.วิธีการขายหรือการจัดโปรโมชั่นต่างๆ 5.สถานที่ห้ามดื่ม และ 6.การโฆษณา ซึ่งการควบคุมการโฆษณานั้นเพราะเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ไม่ใช่สินค้าธรรมดา เนื่องจากฤทธิ์ทางเคมีสามารถทำให้ผู้ดื่มอาจออกไปก่อความเดือดร้อนกับสังคมได้
“ถามว่ามาตรา 32 ห้ามโฆษณาโดยสิ้นเชิงไหม? ไม่ได้ห้ามโฆษณาสิ้นเชิงสำหรับผู้ผลิต ผมแนะนำว่าผู้ผลิตรายย่อยสามารถใช้วรรคสองได้ วรรคสองเขาเปิดช่องไว้ว่าการโฆษณาหรือการประชาสัมพันธ์โดยผู้ผลิตโดยตรงสามารถทำได้โดยใช้ตราสินค้าหรือตราของบริษัท เขาห้ามแค่ผลิตภัณฑ์แค่นั้นเอง แต่ให้ใช้ตราของบริษัทหรือตราสินค้านี้ได้ ฉะนั้นจะเห็นว่ามาตรา 32 ไม่ได้สุดขั้ว มาตรา 32 ยังเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการได้” คำรณ กล่าว
ผู้ประสานงานเครือข่ายเฝ้าระวังธุรกิจสุรา ยังตั้งข้อสังเกตว่า หากมองในแง่ความไม่เป็นธรรมระหว่างผู้ประกอบการรายใหญ่กับรายย่อย อยากให้ไปดูกฎหมายสรรพสามิตจะเห็นชัดกว่า เพราะมีการกำหนดกำลังการผลิตขั้นต่ำไว้ ซึ่งเรื่องนี้ไม่เป็นธรรมแน่นอน ในขณะที่กฎหมายควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์บังคับใช้กับทุกรายเท่าเทียมกัน แต่หลายครั้งที่ผู้ประกอบการรายย่อยเรียกร้อง มักพูดถึงกฎหมายควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มากกว่า
อนึ่ง เจตนารมณ์ของกฎหมายห้ามโฆษณานั้นมุ่งเน้นการโฆษณาเพื่อประโยชน์ทางการค้า แต่สำหรับบุคคลทั่วไปก็ต้องระมัดระวังเรื่องการแสดงชื่อ เครื่องหมายการค้า หรืออวดอ้างสรรพคุณ หรือชักจูงให้ดื่ม แม้ไม่มีเจตนาเพื่อการค้าแต่ก็อาจเข้าข่ายทำผิดกฎหมายได้ ซึ่งการห้ามโฆษณาเป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะไม่ต้องการให้สร้างการจดจำสินค้าหรือส่งเสริมชักจูง เพราะจะมีผลต่อพฤติกรรม เช่น อยากดื่มต้องยี่ห้อนั้นยี่ห้อนี้ รวมถึงกระตุ้นให้ดื่มมากขึ้น หรือกระตุ้นให้นักดื่มหน้าใหม่เข้าถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เร็วขึ้น เท่ากับยิ่งมีความเสี่ยงทั้งต่อสุขภาพและต่อสังคม
“ถึงแม้ผมเป็นประชาชนทั่วไป ผมไม่ได้ทำบริษัท ไม่ได้รับจ้างใคร แต่การที่ผมรีวิว มียอดไลค์ (Like) ยอดผู้ติดตาม อันนี้เจ้าหน้าที่ก็มองว่าเราไม่ใช่คนปกติทั่วไปแล้ว ฉะนั้นพฤติกรรมของเราคือชักจูงให้คนมาสนใจในสินค้าตัวนี้ แล้วก็บริโภคสินค้าตัวนี้ ฉะนั้นกฎหมายเลยเขียนล็อกไว้” คำรณ อธิบายเรื่องการห้ามโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ในกรณีของคนทั่วไป
แต่ในมุมของ ธนากร ท้วมเสงี่ยม ผู้ก่อตั้งเพจ “ประชาชนเบียร์” มองว่า พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ.2551 เป็นปัญหาต่อผู้ประกอบการรายย่อย เช่น มาตรา 32 ว่าด้วยการห้ามโฆษณา ซึ่งทำให้ผู้ผลิต ผู้นำเข้าและร้านค้าที่รับสินค้าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทางเลือกมาจำหน่าย ต้องเลิกประกอบธุรกิจไปเพราะไม่สามารถพูดถึงสินค้าของคนเองได้ด้วยเหตุที่กฎหมายปิดกั้นไว้แทบทั้งหมด อีกทั้งยังกระทบไปถึงประชาชนทั่วไปที่ไม่ได้เกี่ยวข้องหรือรับผลประโยชน์ใดๆ กับธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
ดังที่เคยมีข่าวคนถูกแจ้งข้อหาเพราะบอกเล่าเรื่องเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แต่ละชนิดหรือยี่ห้อว่าเป็นอย่างไรในเฟซบุ๊คส่วนตัว โดยคดีนี้ผู้ต้องหาถูกปรับ 2 หมื่นบาท ขณะที่ผู้ประกอบการรายใหญ่ แม้จะโดนจับเช่นกันแต่เมื่อมองแล้วว่าคุ้มค่ากับผลประโยชน์ก็พร้อมจะเสียเงินค่าปรับ นอกจากนี้ รายใหญ่ยังสามารถทำการตลาดได้หลายวิธี เช่น นำตราสัญลักษณ์ยี่ห้อเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ติดตลาดแล้วไปใช้กับสินค้าอื่นๆ หรือไปซื้อพื้นที่สื่อในต่างประเทศเพื่อโฆษณากลับเข้ามายังประเทศไทย กฎหมายนี้จึงมีลักษณะย้อนแย้ง คืออยากควบคุมแต่ไม่สามารถควบคุมได้จริง
“ทำไมผมถึงสนใจเรื่องนี้ ต่อให้เราผลิตเข้ามาแล้วแต่เราไม่สามารถพูดถึงสินค้าตัวเองได้เลย มันจะขายอย่างไร? สุดท้ายเอามาตั้งไว้เฉยๆ ที่บ้านแล้วก็ไม่มีใครรู้จักเลย มันก็เหมือนฆ่าตัวตาย สุดท้ายผลิตมา เอาเงินเป็นแสนเป็นล้านลงไป นำเข้ามาปุ๊บ!..เจ๊ง! ไม่มีทางออก เลยอยากให้ทุกคนมีสิทธิ์ในการพูด แล้วผมก็เชื่อมั่นว่าประชาธิปไตยคนไทยสามารถเลือกได้ เราสามารถรู้ว่าอะไรดีอะไรชั่ว เราสามารถแบ่งได้
ต่อให้วันนี้เด็กๆ อาจจะยังไม่รู้ว่าอะไรดีอะไรไม่ดี แต่ผมเชื่อว่าถ้าเราสอนเขาให้รู้ว่าแอลกอฮอล์มันดีมันเสียอย่างไรบ้าง ผมเชื่อว่าเขาสามารถใช้วิจารณญาณในการเลือกของเขาเองได้ ก็อยากให้รัฐเปิดช่องตรงนี้ให้กว้างขึ้น ให้ทุกคนมีสิทธิ์คิด มีสิทธิ์เลือก ในมุมมองของตัวเองได้” ธนากร กล่าว
ธนากร ยังกล่าวด้วยว่า จุดยืนของการก่อตั้งเพจประชาชนเบียร์ คือต้องการสร้างความเข้าใจว่าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ไม่ใช่ผู้ร้ายเสมอไปเสียทีเดียว แต่ยังมีเรื่องของสุนทรียภาพในการดื่มอยู่ในสังคมด้วย โดยคนที่ดื่มแล้วก่อปัญหาสังคม เช่น ทะเลาะวิวาท เมาแล้วขับ ฯลฯ แม้จะมีแต่ก็เป็นเพียงส่วนน้อยเมื่อเทียบกับจำนวนคนที่ดื่มทั้งหมด 16 ล้านคนทั่วประเทศ
สำหรับร่างแก้ไขกฎหมาย พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ นั้น มีการรวบรวมรายชื่อจนครบ 1 หมื่นรายชื่อ และยื่นต่อรัฐสภาไปแล้วตั้งแต่วันที่ 17 มี.ค.2564 ที่ผ่านมา ส่วนจะเข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรเมื่อใด คงต้องติดตามกันต่อไป!!!
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี