ย้อนไปไม่กี่สิบปีก่อนในยุคที่เทคโนโลยีอินเตอร์เนตเริ่มแพร่หลาย เคยมีการจินตนาการถึงโลกที่ไร้พรมแดนและผู้คนที่อยู่ห่างไกลกันจะเข้าใจกันมากขึ้น แต่เมื่อเวลาผ่านมาจนถึงยุคปัจจุบันที่เมื่ออินเตอร์เนตพัฒนาไปถึงขั้นความเร็วสูงกว้างขวางและค่าบริการไม่แพงเมื่อเทียบกับรายได้ เช่นเดียวกับอุปกรณ์เชื่อมต่อจากที่ต้องใช้คอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะหรือโน้ตบุ๊ค ทุกวันนี้คนจำนวนมากท่องโลกออนไลน์ผ่านโทรศัพท์มือถือสมาร์ทโฟน สิ่งที่พบคือ “ดราม่า” ความขัดแย้งไม่ว่าเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่ ผ่านแพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์ (Social Media) ต่างๆ
เมื่อเร็วๆ นี้ ภาคีโคแฟค ประเทศไทย ร่วมกับอีกหลายองค์กร จัดงานเสวนา (ออนไลน์) เสวนานักคิดดิจิทัลครั้งที่ 16 กาลามสูตรในยุคดิจิทัล : เส้นแบ่งบางๆระหว่างความจริงและความเชื่อ Digital Thinkers Forum #16 “How to draw a thin line between facts & faith in digital age? โดยมีการเสวนาเรื่อง “เราจะไกล่เกลี่ยความขัดแย้งในโลกไซเบอร์ (Cybermediation) ได้หรือไม่” ในช่วงท้ายของงาน
ผศ.ดร.ปารีณา ศรีวนิชย์ คณบดีคณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อธิบายกระบวนการไกล่เกลี่ยในมุมทางกฎหมาย ว่า โดยทั่วไปแล้วการจัดการความขัดแย้งหากเป็นขั้นตอนแบบทางการ จะหมายถึงการฟ้องคดีไม่ว่าทางแพ่งหรือทางอาญาแล้วให้ศาลเป็นผู้ตัดสิน ซึ่งมีข้อจำกัดคือ 1.มีค่าใช้จ่ายสูง 2.คำตัดสินที่ออกมาต้องยึดตามที่กฎหมายเขียนไว้ดังนั้นแม้เรื่องราวจะยุติลง แต่ก็อาจมีคำถามตามมาว่าเป็นธรรมแล้วหรือไม่ แนวคิด “กระบวนการยุติธรรมทางเลือก” จึงเกิดขึ้น เช่น การเจรจา การใช้กระบวนการอนุญาโตตุลาการ
แต่ทั้ง 2 วิธีก็มีข้อจำกัด การเจรจานั้นคือในกรณีที่คู่ขัดแย้งมีอำนาจต่อรองไม่เท่ากัน ส่วนการใช้กระบวนการอนุญาโตตุลาการก็พบว่ามีค่าใช้จ่ายที่สูงมาก การไกล่เกลี่ยจึงเป็นวิธีการที่น่าสนใจ โดยมีหลัก 3 ประการที่จะนำไปสู่การไกล่เกลี่ย 1.การไกล่เกลี่ยจะเกิดขึ้นไมได้หากไม่มีสิ่งที่เรียกว่าความจริง ซึ่งสำหรับกรณีของโลกไซเบอร์ เรื่องนี้ไม่ง่ายเพราะต้องค้นหาว่าอะไรคือความจริง ความเชื่อและความเห็น 2.ผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายต้องได้เข้าสู่กระบวนการไกล่เกลี่ย และ 3.กระบวนการต้องสามารถไว้วางใจได้ ซึ่งมาจากการพูดคุยกันและมีคนกลางที่น่าเชื่อถือ
“หัวใจสำคัญที่สุดของการไกล่เกลี่ยที่ดีคือการฟัง และทำ Dialogue (บทสนทนา) ร่วมกัน พูดคุยกันเพื่อมองหา Concern (ข้อกังวล) มองหา Interest (ประโยชน์) แล้วถ้าเรามีเวทีที่ฟังกันแบบนี้ได้ สุดท้ายแล้วเราอาจจะพบว่าเราต้องการอย่างเดียวกันก็ได้แต่ด้วยวิธีการที่แตกต่างกัน แล้วค่อยมาหาตัว Common Ground (พื้นที่กลาง) บางเรื่องที่แตกต่างกันอาจจะเก็บไว้ก่อน แต่บางเรื่องแก้ไขได้แก้ไขได้ไหม” ผศ.ดร.ปารีณา กล่าว
ด้าน ธีรดา ศุภะพงษ์ ผู้แทนประเทศไทย Centre for Humanitarian Dialogue (HD) กล่าวว่า การไกล่เกลี่ยคือการมีคนกลางมารับฟังและหาทางออก เกิดเป็นข้อตกลงที่คู่ขัดแย้งทั้ง 2 ฝ่ายต้องปฏิบัติ โดยคุณสมบัติของผู้ทำหน้าที่ไกล่เกลี่ยคือการมีความเข้าใจผู้คนว่าแต่ละคนทำอะไรลงไปด้วยฐานความคิด ความเชื่อ หรือผลประโยชน์ในเรื่องนั้นอย่างไร แล้วจะหาจุดร่วมของทั้ง 2 ฝ่าย สานผลประโยชน์ร่วมกันบนจุดยืนที่แตกต่างกันของแต่ละฝ่ายได้อย่างไร
ส่วนการไกล่เกลี่ยทางไซเบอร์ มีคำถามสำคัญคือ 1.เทคโนโลยีดิจิทัลส่งผลต่องานคลี่คลายความขัดแย้งและการป้องกันความขัดแย้งที่รุนแรงได้อย่างไร กับ 2.ผู้ไกล่เกลี่ยจะใช้เครื่องมือทางเทคโนโลยีดิจิทัลมาเป็นประโยชน์ในกระบวนการคลี่คลายความขัดแย้งและการป้องกันความรุนแรงได้อย่างไร ซึ่งโลกยุคใหม่ข้อมูลข่าวสารและมุมมองความเห็นถูกเผยแพร่อย่างรวดเร็ว อนึ่ง การไกล่เกลี่ยแบบดั้งเดิมจะแบบวงปิดในพื้นที่ปลอดภัย แต่การไกล่เกลี่ยยุคใหม่อาจต้องให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมและการรับฟังผู้มีส่วนได้-เสียมากขึ้น
“เราสามารถทำได้เพราะมีเสรีภาพในการแสดงออก แต่มีจุดไหนไหม? ที่น่าจะมาดูว่าเส้นแบ่งในการเคารพกันของความแตกต่างทางความคิดมุมมองต่างๆ เสรีภาพในการแสดงออก กับเส้นแบ่งของการที่จะไปละเมิด ไปปลุกเร้าให้เกิดความรุนแรงที่อาจจะเกิดขึ้นหลังมีการสื่อสารในทำนองนั้นในโลกออนไลน์แล้วอย่างไร ซึ่งอันนี้เป็นความท้าทายใหม่ของคนทำงานด้านไกล่เกลี่ยความขัดแย้ง การทำงานด้านกระบวนการสันติภาพ ที่มองว่าบริบทใหม่ท้าทายขึ้นกว่าเดิม” ธีรดา กล่าว
ตัวอย่างที่น่าสนใจจากต่างประเทศ พิมพ์รภัช ดุษฎีอิสริยกุล ผู้ประสานงานโครงการ Thailand Talk มูลนิธิฟรีดริช เนามัน (FNF) เล่าเรื่องโครงการ “My Country Talk” ในประเทศเยอรมนี ซึ่งเกิดขึ้นจากความเชื่อที่ว่า “คนเราขัดแย้งกันก็เพราะไม่ได้เชื่อมต่อกัน และเชื่อว่ามนุษย์มีความพิเศษตรงที่จะไม่ฆ่ากันตายถ้าได้คุยกันจริงๆ” โครงการจึงเกิดขึ้นโดยวางประเด็นที่สังคมให้ความสนใจ เปิดให้คนมาลงทะเบียน แล้ววันหนึ่งก็นัดคนที่เห็นต่างให้ได้มาพบกันและพูดคุยกัน โดยไม่ได้มุ่งเน้นให้ใครต้องเปลี่ยนความคิด
โครงการ My Country Talk ที่เยอรมนีได้รับความสนใจถึงขนาดมีคนเดินทางข้ามเมืองเพื่อที่จะไปคุยกับอีกคนที่มีความเห็นต่างจากตนเองอย่างมาก และแม้ท้ายที่สุดต่างฝ่ายจะไม่ได้เปลี่ยนมุมมองของตนเอง แต่ก็ให้คำมั่นว่าจะมาพบกันทุกปี เรื่องนี้ทำให้ย้อนมองกลับมายังสังคมไทย ว่าอาจเป็นเพราะไม่เคยได้พูดคุยกันจริงๆ หรือไม่ นำมาสู่การทำโครงการ Thailand Talk เปิดพื้นที่ให้คนได้มาฟังและพูดคุยกันเพื่อเชื่อมต่อคนเข้าด้วยกัน
“เราบางคนไม่เคยเจอกัน แต่เกลียด ไม่ชอบ เพราะเราไปอยู่ในโลกของเราใบหนึ่งที่เราก็จะได้อย่างนี้ คนนี้คิดไม่เหมือน คนนี้คิดต่างจากเรา คนนี้อย่างนี้ไม่ดี ความจริงของโลกหนึ่งของเรากับความจริงอีกโลกหนึ่งของเขา มันก็คือความจริงของทั้ง 2 ฝ่าย ความจริงที่มีความเชื่อของเขาเองอยู่ในนั้น แล้วก็มันมีความเชื่อบางอย่างที่คล้ายกัน หรือมีความจริงบางชุด มันจะมีความจริงย่อยความเชื่อย่อยที่มันอยู่ในนั้น ซึ่งบางทีถ้าเราได้คุยกันมันเคลียร์ได้ มันอาจจะมองเห็นได้” พิมพ์รภัช กล่าว
ปิดท้ายด้วย สายใจ เลี้ยงพันธุ์สกุล ผู้เชี่ยวชาญด้านข้อมูลดิจิทัลเพื่อสังคม ที่ขอเน้นไปที่ “ความขัดแย้งระหว่างประชาชนกับรัฐ” ที่ทั้ง 2 ฝ่ายต่างใช้ถ้อยคำสร้างความเกลียดชัง ว่า ความขัดแย้งบนโลกออนไลน์ มาจากในโลกจริงไม่มีพื้นที่ให้แสดงออก ดังนั้นจึงมีข้อเสนอ คือ 1.รัฐต้องเปิดพื้นที่สำหรับความเห็นต่าง 2.รัฐควรใช้เทคโนโลยีให้เป็นประโยชน์ในการรับฟังความคิดเห็นจากประชาชน และ 3.ทั้งรัฐและประชาชนต้องมีกฎกติกาในการใช้สื่อออนไลน์ ซึ่งประชาชนอาจมองว่า “ทัวร์ลง” หรือการรุมกันเข้าไปวิพากษ์วิจารณ์ในพื้นที่ออนไลน์ของรัฐบาล เป็นวิธีผลักดันข้อเรียกร้องแต่ก็ต้องมีกติกาการใช้สื่อออนไลน์เมื่อมีความเห็นต่างจากรัฐเช่นกัน
“ทั้งด้านประชาชนและรัฐบาล อยากจะให้มองเห็นว่าที่จริงเราอยู่ในโลกที่ว่าเรามีวิธี เรามีเครื่องมือแล้วที่จะทำให้คนได้ฟังกัน แล้วก็มีพื้นที่ ก็คือ Social Media แล้วก็มีเครื่องมือ แต่ว่าจะทำอย่างไรทั้งฝั่งประชาชนและรัฐบาล ที่จะใช้เครื่องมือที่เรามีให้เป็นประโยชน์” สายใจ กล่าวในท้ายที่สุด
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี