วันอังคาร ที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568
            
								"แนวหน้า ออนไลน์" ได้มีโอกาสสัมภาษณ์ คุณกรรณิการ์ เลียงพิบูลย์ หนึ่งในทายาทลำดับที่ 11 จากทั้งหมด 14 คนของคุณทองหยก เลียงพิบูลย์ โดยคุณทองหยกใช้นามปากกาว่า "ท.เลียงพิบูลย์" เป็นผู้รจนาหนังสือชุด "กฎแห่งกรรม" มรดกธรรมอันเป็นอมตะธรรม ซึ่งมีถึง 262 เรื่อง และ อีกหนึ่งเรื่องชื่อ "ท่านผู้ให้แสงสว่าง" เขียนเมื่อปื 2514 แต่ไม่ได้รวมหนังสือเรื่องนี้เข้าในชุดกฎแห่งกรรม เพราะมีเนื้อหาของท่านเจ้าคุณนรฯ ซึ่งอยู่เหนือ "กฎแห่งกรรม"
ปัจจุบันคุณกรรณิการ์มีวัยย่างเข้าอายุ 78 ปีไปแล้ว แต่น้ำเสียงยังใสแจ๋วดูเหมือนอายุเพียง 60 ต้นๆ เท่านั้น โดยคุณกรรณิการ์เล่าว่า สมัยเด็กๆได้มีโอกาสช่วยงานเขียนของคุณพ่อ ท.เลียงพิบูลย์ โดยอยู่ในส่วนของตรวจต้นฉบับ ทำให้ได้อ่านเรื่องของท่านตั้งแต่แรกๆ
"ตอนตรวจต้นฉบับให้ท่าน ท่านก็บอกว่า อันนี้ตัดไม่ได้ สำคัญ ตอนหลังท่านก็นำไปทำเองทั้งหมด ช่วงที่ช่วยท่านก็ได้อ่านเรื่องของท่านตั้งแต่แรกๆ ตั้งแต่คุณพ่อเริ่มเขียนหนังสือกฎแห่งกรรมเรื่องแรก ตอนนี้ก็เก็บผลงานท่านไว้เยอะมากคะ บางส่วนมีการนำไปพิมพ์แจกงานศพ ตอนนี้ดิฉันก็กำลังคิดว่า จะเอาหนังสือไปบริจาคให้โรงเรียนต่างๆ และก็ยังกำลังหาที่อยู่คะ เพราะว่ามันเยอะมากเลย” คุณกรรณิการ์เล่าให้ฟังอย่างเป็นกันเอง

ลูกสาวของท่าน "ท.เลียงพิบูลย์" เล่าให้ฟังถึงแรงบันดาลใจที่ทำให้คุณพ่อเขียนหนังสือชุด "กฎแห่งกรรม" ว่า ที่จริงแล้วจุดมุ่งหมายของคุณพ่อ เจตนาอยากจะเผยแพร่ สิ่งที่คุณพ่อได้ประสบมาว่า การทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว มันมีจริงๆ เพราะว่าคุณพ่อประสบมาด้วยตัวเองเยอะ หลายเรื่อง และ ที่ท่านเขียน ท่านก็เขียนที่เป็นประวัติจากประสบการณ์ของท่าน จากเรื่องจริง ที่ท่านเคยประสบมา กับเพื่อน และ ที่ไปพักโรงแรม แล้วก็ไปเจอวิญญาณ อีกเรื่องหนึ่งก็คือว่า สิ่งที่ท่านเขียนอะไรไปทุกอย่าง ท่านจะมีการพิสูจน์ก่อน โดยเฉพาะถ้าเป็นเรื่องของเล่าให้ฟัง อย่างยุคแรกที่ท่านเขียน คือ “ทำดีได้ดี ทำชั่ว ได้ชั่ว” ในยุคที่สอง ท่านก็มาเปลี่ยนชื่อเป็น “กฎแห่งกรรม” แล้วก็ยุคหลังๆจะเกี่ยวกับคนที่ตายแล้ว ระลึกชาติได้ ทุกเรื่องที่มีคนเขาเขียนมาให้ทุกเรื่อง มีการพิสูจน์ก่อนทุกเรื่องว่า เรื่องนี้ไม่ได้ยกเมฆ และ เป็นเรื่องจริงที่มีคนสามารถยืนยันได้
"ท.เลียงพิบูลย์" อำลาวงการน้ำหมึกไปตลอดกาลด้วยวัย 83 ปี เมื่อวันที่ 16 มิถุนายน พ.ศ.2527 ซึ่งเพิ่งครบรอบ 37 ปี วันจากไปของท่านเมื่อไม่กี่วันมานี้ และหากรวมชาตกาลของท่านมาจนถึงปีนี้ จะมีเวลาถึง 120 ปีแล้วในการเกิดขึ้นของนักเขียนระดับตำนานที่สร้างผลงานให้กับพุทธศาสนา เพื่อให้ผู้อ่าน ผู้ได้ยินเรื่องราวของท่านเชื่อหนึ่งในคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมณโคดมบรมครู ที่ว่า “ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว” ซึ่งเป็น “หลักกรรม” ที่จะลิขิตให้สัตว์โลกได้รับกรรมดีหรือกรรมชั่ว และ ได้เสวยผลทุกข์หรือสุขที่มีอยู่ในโลกธรรม 8

นักเขียนระดับตำนานของไทยยังได้อบรมบ่มเพาะกุลบุตรกุลธิดาเป็นอย่างดี โดยมักเรียกใช้ลูกๆให้ไปบีบนวดท่าน ขณะที่ลูกกำลังบีบนวดท่านก็จะเล่าเรื่องราวที่มีสารประโยชน์แฝงด้วยคุณธรรมให้ลูกๆฟัง
“สิ่งแรกที่คุณพ่อสอน คือ เรื่องของ สัจจะ ความซื่อสัตย์ สุจริต คุณพ่อจะสอนมากเลย ไม่ว่าจะทำอะไรกับใคร เมื่อไปให้คำมั่นสัญญา กับใครไว้แล้ว ท่านจะไม่เปลี่ยนคำพูด ยอมแม้ว่าเราจะเสียเปรียบเขาหรืออะไรก็ตาม คล้ายๆตัดสินใจลงไปแล้ว แล้วก็เรื่องที่ทำการค้าขายของท่าน ท่านก็จะอาศัยความซื่อสัตย์สุจริตเป็นสำคัญทีเดียว เพราะฉะนั้น ท่านก็จะไม่มีประวัติด่างพร้อยของการทำธุรกิจ คือ ไม่คดโกงใครเขา ไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อน แต่สมัยก่อน มันก็ง่ายนะคะ แต่ท่านก็ดำเนินธุรกิจตรงไปตรงมา มีร้านขายอะไหล่รถยนต์ ซึ่งท่านก็ทำมาจนกระทั่งจะบั้นปลายของชีวิต ตอนอายุสักแปดสิบ ท่านก็ไม่มีใครสืบต่อแล้ว เพราะลูกก็ไปทำอย่างอื่นกันหมด” คุณกรรณิการ์เล่าให้ฟัง
สิ่งที่น่าทึ่งก็คือ หนังสือกฎแห่งกรรมแต่ละเรื่องนั้น ท่าน “ท.เลียงพิบูลย์” เขียนเอง และลงทุนจัดพิมพ์เอง ด้วยเงินส่วนตัวที่ได้จากการประกอบธุรกิจร้านอะไหล่รถยนต์

คุณกรรณิการ์เล่าว่า พิมพ์เผยแพร่ไปจนกระทั่งมีคนอ่านเยอะขึ้น ทุกคนก็ชอบ คุณพ่อก็จะแจกตามโอกาสต่างๆก็คือ ปีใหม่ สงกรานต์ เข้าพรรษา วันสำคัญทางพุทธศาสนา เช่น วันมาฆบูชา วันวิสาขบูชา ก็จะเป็นเล่มเล็กๆ ประมาณสัก 40-50 หน้า ท่านก็พิมพ์เอง ตอนหลังมีคนมาขอพิมพ์ เอาไปแจกบ้าง ท่านก็คิดเฉพาะค่าหนังสืออย่างเดียว ในราคาเพียง 12.75 ไม่มีขาด ไม่มีเกิน เป็นคนที่ซื่อสัตย์มาก
“ดิฉันก็ยังมองไม่เห็นว่า ดิฉันได้ทำอะไรที่ผิดไปจากคำสอนของพ่อนะคะ เพราะฉะนั้น ที่เห็นจริงๆคือ หนึ่ง เราไม่ได้เป็นหนี้ใคร สอง เราไม่เคยไปโกงใคร หรือ ไปหลอกลวงใคร ไปเบียดเบียนใคร เพราะฉะนั้น เราก็อยู่แบบพอเพียงของเรา มีความสุขคะ ก็มีเพื่อน มีฝูง มีญาติพี่น้อง เรื่องทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เราก็เห็นมาตลอดเลย แล้วมันก็จริงๆ เพราะทุกอย่าง มันเป็น กฎแห่งกรรม คือว่า ถ้าเราทำดีกับคนอื่นเขา โดยที่เราไม่เคยคิดว่า เราจะไปหวังผลตอบแทนอะไร เราทำดีเพราะอยากจะทำ ใช่ไหมคะ บางทีเราก็มองเห็นอยู่ ที่เราได้ คือ ความสุขกายสบายใจ เท่านั้นล่ะ แล้วเราก็ไม่ได้ไปคิดอะไร แล้วเราก็ไม่คิดหวังการตอบแทน เราก็ไม่เคยผิดหวัง ดิฉันก็อยู่อย่างสมถะ ไม่ได้ฟู่ฟ่าอะไร พอมีพอกิน และ เราก็ไม่ได้ฟุ่มเฟือยอะไรแบบนี้ แล้วเราก็ ไม่รู้จะบอกว่ายังไง ก็เห็นอยู่ ” คุณกรรณิการ์เล่าด้วยน้ำเสียงที่มีความสุข

คุณกรรณิการ์เล่าว่า ถ้าใครมีหนี้ตอนโควิด ต้องใช้ดอกเบี้ยแบงก์รายวัน ไม่รู้จะทำยังไง ตรงนี้ก็ต้องอาศัย “เศรษฐกิจพอเพียง” ของในหลวง รัชกาลที่ 9 ด้วยนะคะ เรามีเท่าไหร่ เราใช้แค่นั้น เพราะว่าโดยส่วนตัวดิฉันไม่ได้เป็นหนี้เป็นสินอะไร ตรงนี้ คุณพ่อ (ท.เลียงพิบูลย์) ก็สอนว่า อย่าเป็นหนี้เป็นสินน่ะ เพราะจะเป็นเรื่องที่ดึงให้ชีวิตเราตกต่ำ และ แค่ทุกคนถือศีลห้า บ้านเมืองมันคงไม่แบบนี้ มันจะไม่มีการโกง ไม่มีการแย่งผัวแย่งเมีย ฆ่ากันตาย วุ่นวายกันหมด เพราะคนไม่ได้ถือศีลห้า เพราะฉะนั้นแค่รักษาศีลห้าก็พอแล้ว ไม่ต้องไปทำอย่างอื่นเลย
“นี่ตรงนี้ คุณคิดดู ตอนหลัง แม้แต่วิชาหน้าพลเมือง วิชาศีลธรรมก็ไม่มีการสอนกันในโรงเรียน เพราะฉะนั้น เด็กไม่รู้จักเลยน่ะคะ ไม่ว่าจะเป็น หิริโอตัปปะ รู้จักไหม ขันติ โสรัจจะ ซึ่งตอนสมัยมัธยมที่เราเรียน มันช่วยได้เยอะ ของพวกนี้ มันเป็นสิ่งที่นักเรียนควรจะได้รับ แต่สิ่งเหล่านี้ไม่มีในการเรียนการสอน คุณจะดูว่า เดี๋ยว นี้ เด็กก้าวร้าว ไปถามเถอะว่า รู้จักศีลห้าไหม ไม่รู้จักเลย ใช่ไหมคะ แล้วเขาจะไปทำยังไง จริงๆน่าจะให้มีการสอน หน้าที่ศีลธรรม หน้าที่ของพลเมือง หน้าที่ของสามีภรรยา ลูก พ่อแม่ ผู้ใหญ่ในบ้านเมืองที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ควรจะต้องรีบเปลี่ยนแปลง เพราะจะไปว่าเด็กก็ไม่ได้ เขาก็ไม่รู้ เขาก็ไม่เคยเรียน จะไปรู้ได้ยังไง ไปถามศีลห้า กาเมสุมิจฉา คือ เรื่องอะไร ไม่รู้เลย

เพราะฉะนั้น เดี๋ยวนี้คน ถึงไม่มีศีลธรรม เพราะไม่ได้อยู่ในสมอง เพราะฉะนั้นบ้านเมืองตอนนี้ได้แค่ประคับประคองยังยากเลย เพราะ หนึ่ง คือ คนตอนนี้ คำว่า หน้าที่ ไม่รู้จักกันแล้ว เด็กก็ไม่ได้ทำหน้าที่เป็นเด็ก ถูกไหม และ จะไปปกครองบ้านเมืองซะแล้ว คือ ทุกอย่างไม่ได้อ่านเลย แล้วมาพูดเปิ๊บๆ ปาวๆ โดยที่ตัวเองก็ไม่รู้เรื่อง” ทายาท ท่าน ท.เลียงพิบูลย์แนะทางออกสำหรับสังคมยุคปัจจุบัน
คุณกรรณิการ์ทิ้งท้ายว่า ผลลัพธ์ของการไม่ตระหนักเรื่องกฎแห่งกรรมนั้นจะส่งผลให้คนในยุคปัจจุบัน ไม่เคยคิด ไม่เคยพูดถึงชาตินี้ ชาติหน้า ตอนหลังที่คุณพ่อมาเขียนเรื่องที่ว่า เด็กกลับชาติมาเกิด เพราะต้องการให้รู้ว่า เฮ้ย! มันมีจริงน่ะ ชาตินี้กับชาติหน้า ถ้าเกิดมาชาตินี้คุณทำไม่ดี คุณก็กลายเป็นคนไม่ดีในชาติหน้า มันมีผลต่อชาติหน้า ไม่ใช่ชาตินี้เท่านั้น แต่คนสมัยนี้เขาไม่เชื่อกัน
ปัจจุบัน “มูลนิธิธรรมสภา บันลือธรรม” ได้นำผลงานเขียนของท่าน ท.เลียงพิบูลย์ มารวมรวมเป็นรูปเล่มใหม่ให้น่าอ่านถึง 7 เล่ม และ ยังคงอนุรักษ์ต้นฉบับงานเขียนชุด “กฎแห่งกรรม”ที่มีเรื่องราวระดับตำนานไว้อย่างเต็มอิ่ม 
 
								
							
								
							
								
							โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี