1.การเปิดภาคเรียนวันที่ 14 มิถุนายน 2564 ที่ผ่านมา คือ บทพิสูจน์ “ภาวะผู้นำ” ของผู้ว่าราชการจังหวัดและผู้อำนวยการโรงเรียน โดยกระทรวงศึกษาธิการให้นโยบายอย่างชัดเจนว่า การเปิดชั้นเรียนในวันที่ 14 ต้องเป็นอำนาจของคณะกรรมการโรคติดต่อของจังหวัด ทำหน้าที่เป็นคนตัดสินใจ เพื่อให้สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริงของสถานการณ์แพร่ระบาดไวรัสโควิด-19ในพื้นที่จังหวัดนั้นๆ ตลอดจนเงื่อนไขต่างๆ ของโรงเรียน และนักเรียนในพื้นที่ ซึ่งถือว่าเป็นแนวทางการบริหารนโยบายที่ถูกต้องของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ
ภายใต้นโยบายที่ถูกต้องนี้ เมื่อตามไปดูการปฏิบัตินโยบายในพื้นที่จริง ซึ่งศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) ก็ได้ประกาศให้ 4 จังหวัดอันเป็นพื้นที่สีแดงเข้มห้ามใช้อาคารเรียน ได้แก่ กรุงเทพมหานคร นนทบุรี ปทุมธานี และสมุทรปราการ นั่นแสดงว่า โรงเรียนใน 4 จังหวัดนี้ห้ามเปิดชั้นเรียนในโรงเรียน หรือเข้าใจได้ว่า โรงเรียนไม่สามารถเปิดให้เข้ามาใช้สถานที่ได้ (โรงเรียนปิด)และพื้นที่สีแดง 17 จังหวัด เช่น กาญจนบุรี ชลบุรี ฉะเชิงเทรา ตาก สุราษฎร์ธานี เป็นต้น ศบค.ให้ใช้อาคารสถานที่ในโรงเรียนทำการเรียนการสอนในชั้นเรียนได้โดยผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด ส่วนพื้นที่สีส้ม 56 จังหวัดให้เปิดเรียนได้ตามมาตรการที่ ศบค. กำหนด
2.สรุปคือ พื้นที่สีแดงเข้ม และสีส้ม ไม่เป็นปัญหา เพราะทุกอย่างชัดเจนตามคำสั่งของ ศบค.มีแค่เพียงพื้นที่สีแดง ซึ่งคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดต้องตัดสินใจเอง ตามสภาพความเป็นจริงของการแพร่ระบาดของไวรัสในพื้นที่
สำหรับผมแล้วเห็นว่า พื้นที่สีแดง คือพื้นที่วัด“ภาวะผู้นำ” ของผู้ว่าราชการจังหวัด ในฐานะประธานคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด และผู้อำนวยการโรงเรียน ที่ต้องรับผิดชอบต่อความปลอดภัยของนักเรียนและครู
อนึ่ง ผมได้รับข้อมูลการตัดสินใจของจังหวัดบางจังหวัดในพื้นที่สีแดง แต่ขอไม่ระบุชื่อจังหวัด เพื่อนำการตัดสินใจของคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด และโรงเรียน มาสะท้อนผลลัพธ์ เพื่อการเรียนรู้ร่วมกันเท่านั้น โดยปราศจากวัตถุประสงค์อันจะให้ร้าย หรือกล่าวหาใดๆ ทั้งสิ้น
คณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดนั้น สั่งให้โรงเรียนในพื้นที่สีแดงปิดเรียนต่อไปหลังวันที่ 14 มิถุนายน ด้วยเหตุผลของความเสี่ยงต่อการติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ของนักเรียน และครู ซึ่งถือว่าเป็นการตัดสินใจบนฐานของการประเมินสถานการณ์การแพร่ระบาดในจังหวัดโดยรวม ทำให้ทุกโรงเรียนในจังหวัดจึงต้องเลื่อนการเปิดเรียนออกไปตามคำสั่งดังกล่าว ในสถานการณ์เช่นนี้ ถ้าไม่คิดวิเคราะห์อะไรมาก ทุกอย่างก็น่าจะจบ และปลอดภัยกับทุกฝ่าย ทั้งนักเรียน ครู และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง
3.แต่ถ้ามีการตั้งคำถามว่า ในกรณีของหมู่บ้านหรือตำบลใด ที่ไม่มีการแพร่ระบาดไปถึง หรือไม่มีการติดเชื้อโควิด-19 หรือถ้ามีก็เป็นจำนวนน้อยมาก และสามารถปฏิบัติตามมาตรการ 44 ข้อของกระทรวงสาธารณสุขได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำไมโรงเรียนในหมู่บ้านหรือตำบลกลุ่มดังกล่าวนี้ จึงไม่สามารถเปิดเรียนในวันที่ 14 มิถุนายนได้ ทั้งๆ ที่ประกาศของ ศบค. ก็เปิดให้พื้นที่สีแดงสามารถใช้อาคารเรียนได้แล้ว ดังนั้น การประกาศปิดการใช้อาคารเรียนต่อไปทั้งจังหวัดของพื้นที่สีแดง เท่ากับเป็นการปิดโอกาสการไปโรงเรียนของนักเรียนในพื้นที่ที่จัดว่าปลอดภัยตามเกณฑ์ของกระทรวงศึกษาธิการหรือไม่
นั่นหมายความว่า ในความเป็นจริงแล้ว การบริหารจัดการการปฏิบัตินโยบายของโรงเรียน โดยผู้อำนวยการโรงเรียนนั้น ควรต้องประเมินสถานการณ์แพร่ระบาดโควิด-19 ในพื้นที่ชุมชนของโรงเรียนเป็นสำคัญก่อน และถ้าเห็นว่าสถานการณ์สามารถบริหารจัดการได้ตามเกณฑ์ของกระทรวงกำหนด ผู้อำนวยการโรงเรียนควรต้องทำหนังสือ หรือเข้าชี้แจงกับผู้ว่าราชการจังหวัด หรือคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด เพื่อขอให้ทบทวนการประกาศปิดโรงเรียนทั้งจังหวัด และขออนุญาตให้โรงเรียนของตนสามารถเปิดการเรียนการสอนในอาคารของโรงเรียนได้ตามมาตรการอันเหมาะสม
ผมคิดว่า การกล้าให้ข้อมูลจริงของพื้นที่ และเหตุผลประกอบ เพื่อเปิดโอกาสให้นักเรียนได้ไปโรงเรียนภายใต้การป้องกันการติดเชื้อไวรัสตามมาตรฐานที่สาธารณสุขกำหนดนี้ เป็นการแสดงถึง “ภาวะผู้นำ” ของผู้อำนวยการโรงเรียนที่น่าชื่นชม และในทำนองเดียวกัน เมื่อผู้ว่าราชการจังหวัดได้รับข้อมูล และความคิดเห็น หรือข้อเสนอของผู้อำนวยการโรงเรียน ซึ่งถ้าเห็นตรงกันว่า ถูกต้องตามเกณฑ์ของ ศบค. และกระทรวงสาธารณสุข การตัดสินใจอนุญาตให้โรงเรียนนั้นเปิดเรียนได้ ก็เป็นการแสดงถึง “ภาวะผู้นำ” ของผู้ว่าราชการจังหวัดด้วยเช่นเดียวกัน
4.ที่สำคัญ และต้องมีความเข้าใจร่วมกันในลำดับถัดมาก็คือ การตัดสินใจยกเว้นให้บางโรงเรียนเปิดสอนในอาคารเรียนได้นั้น แน่นอนว่า ยังมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อไวรัสของนักเรียน และครูได้ เพราะไม่มีอะไรในโลกนี้ที่แน่นอน 100% ดังนั้น ถ้าเกิดข้อผิดพลาดจากการตัดสินใจเปิดชั้นเรียนขึ้น การค้นหาสาเหตุของข้อผิดพลาด เพื่อแก้ไขและป้องกันไม่ให้เกิดข้อผิดพลาดในอนาคต ควรเป็นทางออกที่ต้องถือปฏิบัติเป็นหลัก ไม่ใช่ทำการลงโทษสอบวินัยผู้อำนวยการโรงเรียน และผู้ว่าราชการจังหวัดต่อข้อผิดพลาดนั้นๆ เพราะนั่นจะเป็นการทำลาย “ภาวะผู้นำ” ในระบบราชการอย่างน่ากังวล และสุดท้ายอาจไม่เหลือข้าราชการคนใดเลยที่กล้าตัดสินใจอันเป็นไปเพื่อประโยชน์ของประชาชน (หรือในกรณีนี้คือประโยชน์ของนักเรียน)
ทั้งหมดนี้ ผมอยากนำเสนอว่า การบริหารและแก้ปัญหาการเปิดชั้นเรียนในสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 กระทรวงศึกษาธิการควรใช้โอกาสนี้ในการสร้างความมั่นใจให้กับผู้บริหารโรงเรียน และครู กล้าที่จะคิดนอกกรอบ และกล้าที่จะทำนอกกรอบ เพื่อประโยชน์ของนักเรียน ส่วนข้อผิดพลาดจากการตัดสินใจหรือการปฏิบัตินโยบาย ผมเชื่อว่า จะไม่เป็นปัญหาตราบเท่าที่ทุกคนได้เรียนรู้จากข้อผิดพลาดนั้น และยกระดับการตัดสินใจ รวมไปถึงการทำงานให้มีคุณภาพขึ้นได้
นี่แหละครับ คือ “ภาวะผู้นำ” ที่อยากเห็นในกระทรวงศึกษาธิการ
กนก วงษ์ตระหง่าน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี