1.คงต้องชี้แจงก่อนว่า ประเด็นต่อไปนี้ จะเป็นประโยชน์ก็ต่อเมื่อได้รับความสนใจในเชิงคิดวิเคราะห์เพื่อการพัฒนา แต่เมื่อไหร่ก็ตาม ที่ถูกบิดให้เป็นเพียงการโจมตีทางการเมือง หรือการนำความผิดพลาดมาขยายแผล เนื้อหาสาระดังกล่าวนี้ จะถูกลดทอนความสำคัญในกระบวนการเติมประสิทธิภาพลง และการค้นหาความต้องการของประชาชน เพื่อนำมาออกเป็นนโยบายก็จะยังคงเป็นปัญหาในทุกรัฐบาลต่อไป
เมื่อรับทราบตามที่อธิบายไปแล้ว ก็ขอเข้าประเด็นที่ นางสาวกุลยา ตันติเตมิท ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ออกมาแถลงเกี่ยวกับโครงการ “ยิ่งใช้ยิ่งได้” ว่า มีวงเงินที่ขอมาดำเนินนโยบาย 2.8 หมื่นล้านบาท ตั้งเป้าหมายเอาไว้ที่ 4 ล้านคน แต่ปัจจุบันมีคนลงทะเบียนเพียง 4 แสนคนเท่านั้น จึงทำให้มีการพิจารณาคืนเงินส่วนที่เหลือกลับคืนไปยังพระราชกำหนดเงินกู้ฉุกเฉิน 1 ล้านล้านบาท เพื่อนำเงินไปใช้เยียวยาและดูแลในส่วนของเศรษฐกิจอื่นๆ
คำถาม คือ ทำไมมาตรการยิ่งใช้ยิ่งได้ ถึงไม่ได้รับการตอบรับจากประชาชนเท่าที่ควร ตรงนี้เป็นประเด็นที่นักนโยบายที่ดีควรต้องประเมิน เพื่อทบทวนกระบวนการในการออกเป็นนโยบาย ว่ามีตรงส่วนไหนบ้างที่ทำให้ประสิทธิภาพที่ควรจะเป็นถดถอยลง ซึ่งโดยส่วนตัวของผมประเมินได้ ดังนี้
2.ยิ่งใช้ยิ่งได้ เป็นมาตรการเยียวยาผลกระทบจากโควิด 19 จากภาครัฐ ด้วยการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการใช้จ่ายสินค้าหรือบริการ เช่น ค่าอาหาร เครื่องดื่ม สินค้าทั่วไป ค่าบริการนวด สปา ทำผมทำเล็บ (ไม่รวมสลากกินแบ่ง เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ยาสูบ บัตรกำนัล บัตรเงินสดและสินค้าหรือบริการที่เป็นการชำระค่าสินค้าหรือบริการล่วงหน้า) ผ่านกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ของภาครัฐ หรือ G-Wallet บนแอปพลิเคชั่น “เป๋าตัง” (ระหว่างวันที่ 1กรกฎาคม–30 กันยายน 2564) กับผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มที่ติดตั้งแอปพลิเคชั่น “ถุงเงิน”ที่เข้าร่วมโครงการ ซึ่งจะได้รับวงเงินสนับสนุนในรูปของบัตรกำนัลอิเล็กทรอนิกส์ หรือ E-Voucher โดยวงเงินใช้จ่ายที่จะนำมาคำนวณสิทธิ E-Voucher ต้องไม่เกิน 60,000 บาทต่อคน ยอดใช้จ่ายที่นำมาคำนวณสิทธิต้องไม่เกิน 5,000 บาทต่อคนต่อวัน และจะได้รับสิทธิe-Voucher สะสมสูงสุดไม่เกิน 7,000 บาทต่อคน ตลอดระยะเวลาของโครงการ
ถ้าสรุปรูปแบบให้ชัดเจน ก็จะเป็นการกระตุ้นการซื้อ ด้วยการให้เงินคืน (บางส่วน) กลับไปกระตุ้นให้เกิดการซื้อซ้ำอีกครั้ง ซึ่งประเด็นที่ต้องนำมาคิดกันต่อก็คือ
1. ประชาชนกลุ่มฐานรากที่ยากจน ไม่มีเงินออมแล้ว ที่เคยพอมีอยู่บ้าง ปัจจุบันก็หมดแล้ว จนถึงขั้นต้องไปกู้เงินนอกระบบเพื่อการดำรงชีวิตให้อยู่ต่อ
2. ประชาชนกลุ่มระดับกลางที่ยังพอจะมีเงินออมเหลืออยู่บ้าง ก็ประเมินว่า อนาคตโควิด-19 คงยังอยู่กับเราอีกนาน และเศรษฐกิจที่สามารถสร้างรายได้ใหม่ให้ตัวเองก็ยังมองไม่เห็นทิศทางอันสดใส ดังนั้น เงินออมที่เหลืออยู่ควรต้องเก็บไว้ เพื่อเป็นหลักประกันความมั่นคงสำหรับอนาคต
และ 3. ประชาชนกลุ่มคนที่มีเงินออมมาก สามารถใช้เงินได้ ถ้ามีเหตุผลดีพอ โดยที่ไม่เดือดร้อน แต่สำหรับโครงการยิ่งใช้ยิ่งได้ ไม่ว่าจะเป็นสินค้า และบริการไปจนถึงอัตราส่วนลด 10-15% ที่รัฐบาลจะคืนเงินให้ นั้น พวกเขามองว่า ยังไม่มีน้ำหนักเพียงพอที่ควรต้องใช้จ่ายเงินออกไป
3.กล่าวให้ชัดเจนก็คือ โครงการยิ่งใช้ยิ่งได้เป็นมาตรการทางนโยบายที่ไม่เข้าใจ “สภาพความเป็นจริงของประชาชน” เพราะแรงขับเคลื่อนของนโยบายอยู่ที่ “ส่วนลด” ของการใช้เงิน แต่ประชาชนกลับเห็น “ความจำเป็นของการใช้เงิน” ว่าเป็นเหตุผลอันสำคัญกว่ามาก ดังนั้น เมื่อวิเคราะห์ได้ว่า ประชาชนกลุ่มฐานราก และกลุ่มระดับกลางไม่มีเงินเหลือพอนำมาใช้จ่าย เกินไปกว่าการประคับประคองชีวิต ส่วนประชาชนกลุ่มระดับบน ก็ไม่เห็นเหตุผลให้ต้องใช้เงิน ทั้งที่ตนก็มีเงินมากพอที่จะใช้ได้ ตรงนี้ก็บอกกับเราได้ว่า การกำหนดนโยบายใด ควรต้องเริ่มที่เป้าหมาย ว่าจะขับเคลื่อนไปที่ประชาชนกลุ่มใด และความต้องการของประชาชนกลุ่มนั้นเป็นแบบไหน จากนั้นก็สร้างความชัดเจนของมาตรการ ว่าสามารถตอบสนองความต้องการของประชาชนกลุ่มเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ และครบถ้วน ถ้าทำได้เช่นนี้การตอบสนองนโยบายจากกลุ่มเป้าหมายก็จะเกิดขึ้น
ยกตัวอย่างเพื่อให้เห็นภาพได้ชัดเจนขึ้น อย่างปัจจุบันประชาชนกลุ่มฐานรากโดยเฉพาะ SME ขนาดเล็ก ประสบปัญหา หนึ่ง ขาดเงินทุนหมุนเวียน เพราะธนาคารพาณิชย์ไม่ให้กู้ รัฐบาลก็ต้องกำหนดมาตรการให้ประชาชนกลุ่มฐานรากและ SME ขนาดเล็กสามารถเข้าถึงแหล่งเงินกู้ได้ หรือสอง ประชาชนกลุ่มฐานรากและ SME ขาดความรู้ และเทคโนโลยี ที่จะไปปรับกระบวนการทางธุรกิจให้มีผลิตภาพสูง และมีมูลค่ามากขึ้น รัฐบาลก็ต้องกำหนดกลไกเพื่อนำความรู้ และเทคโนโลยี อันจะไปเพิ่มผลิตภาพ และมูลค่าสินค้า และบริการ มาให้แก่ประชาชนกลุ่มฐานราก และ SME ขนาดเล็ก เป็นต้น
4.เมื่อคิดวิเคราะห์ได้ตามนี้ ก็จะเห็นภาพรวมทางนโยบายว่า การนำงบประมาณ หรือเงินกู้ ไปแจกเพื่อหวังกระตุ้นกำลังซื้อของประเทศให้ขยายตัว ส่งผลถึงการเดินหน้าเครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจอย่างราบรื่นนั้น วิสัยทัศน์ดังกล่าวเป็นเพียงทฤษฎีที่ไม่สามารถนำมาปฏิบัติให้เกิดประสิทธิภาพได้ในสถานการณ์ปัจจุบัน มาตรการยิ่งใช้ยิ่งได้ เป็นตัวอย่างอันชัดเจนที่สุด
สำหรับผมมองว่า การปรับเปลี่ยนนโยบายด้วยการโยกงบประมาณในส่วนของการแจกไปช่วยยกระดับผลิตภาพ และมูลค่าของสินค้า และบริการ ให้แก่กลุ่มประชาชนฐานราก โดยเฉพาะ SME ขนาดเล็ก ให้สามารถแข่งขันในตลาดได้ นั่นหมายถึงการสร้างรายได้ที่สูงขึ้นของประชาชนส่วนใหญ่ในประเทศ ส่งผลให้เกิดความเชื่อมั่นต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ นั่นหมายถึงกลไกต่างๆ จากทุกองคาพยพยของระบบเศรษฐกิจในประเทศ ก็จะสามารถเดินหน้าทำงานได้เองด้วยความราบรื่น และต่อเนื่อง
ข้อแนะนำทั้งหมดนี้ กลั่นมาจากประสบการณ์ที่ผมได้ลงไปทำงานร่วมกับพี่น้องประชาชนในทุกระดับ เพื่อรู้จักปัญหา และเรียนรู้ชีวิตจริงของพวกเขา ว่าเป็นอย่างไร และอะไรสำคัญที่สุด ในแต่ละช่วงเวลา ดังนั้น กระทรวงการคลัง ในฐานะหน่วยงานเพื่อการออกแบบนโยบายทางเศรษฐกิจ จึงควรลงมาสัมผัสชีวิตความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชนในทุกกลุ่มเป้าหมาย เพื่อรับฟังปัญหา และศึกษาการดำเนินชีวิต เพื่อเข้าใจความต้องการ และรู้สึกได้ถึงความเดือดร้อนในแบบเดียวกัน เมื่อนั้น ความสำเร็จของนโยบาย โครงการ หรือมาตรการทางเศรษฐกิจ ก็จะไม่ใช่เรื่องที่ไกลตัวอีกต่อไป เพราะเข้าถึง และเข้าใจอย่างแท้จริง
กนก วงษ์ตระหง่าน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี