25 กรกฎาคม 2564 ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศวันเข้าพรรษาปีนี้ 2564 มีประชาชนออกมาทำบุญในวันเข้าพรรษากันบางตา เนื่องจากสถานการณ์โควิด-19 ที่ยังแพร่ระบาดอย่างรุนแรงทั่วทั้งประเทศ
โดยจังหวัดระยอง ขณะนี้ก็มีจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ จนทำให้มีผู้ป่วยที่กำลังเข้ารับการรักษาเพิ่มขึ้นทุกวัน โดยการจัดให้ทำบุญที่วัดแต่ละวัดถูกจำกัดจำนวนคน และมีมาตรการป้องกันการติดเชื้ออย่างเข้มงวด
เช่น วัดป่าประดู่ พระอารามหลวง ตำบลท่าประดู่ อำเภอเมือง จังหวัดระยอง เปิดโอกาสให้พุทธศาสนิกชน เข้าทำบุญในวันเข้าพรรษาตามประเพณี แต่จัดให้ทั้งพระสงฆ์และญาติโยมนั่งเว้นระยะห่างอย่างเข้มงวด
สำหรับในการฟังเทศน์ฟังธรรม ช่วงเข้าพรรษาที่เคยจัดทุกวัน เป็นเวลา 3 เดือน ก็ปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์ ให้ญาติโยมเข้ารับฟังธรรมมะ ในโครงการส่งธรรมมะถึงบ้านศึกษาธรรมออนไลน์ ซึ่งพุทธศาสนิกชนสามารถติดตั้งแอฟพลิเคชั่นในโทรศัพท์มือถือ แสกนคิวอาร์โคดเพื่อเข้าฟังธรรม ปฏิบัติธรรม เรียนธรรมศึกษา และสนทนาธรรม อยู่ที่บ้านได้ทุกวันเวลา 19.30-20.30 โดยไม่มีค่าใช้จ่าย
สำหรับบรรยากาศ ที่วัดป่าทุ่งสามัคคีธรรม (บ้านทุ่ง) ตำบลนางรอง อำเภอนางรอง จังหวัดบุรีรัมย์ ได้มีพุทธศาสนิกชนในตำบลนางรอง และตำบลใกล้เคียง นำข้าวปลาอาหาร น้ำดื่ม รวมถึงของแห้ง เทียนพรรษา และจัตุปัจจัย มาร่วมทำบุญตักบาตร เพื่อเสริมสิริมงคลแก่ตนเองและครอบครัว ทั้งเพื่อเป็นการสืบสานวัฒนธรรมประเพณีอันดีงามเนื่องในวันเข้าพรรษา
พุทธศาสนิกชนที่มาร่วมทำบุญตักบาตร ต่างก็ปฏิบัติตามมาตรการของกระทรวงสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด ด้วยการสวมใส่หน้ากากอนามัย เว้นระยะห่าง และบางคนก็พกเจลแอลกอฮอล์ล้างมือมาด้วย ขณะที่ทางวัดก็ปิดศาลาการเปรียญ เปลี่ยนให้ญาติโยมมาทำบุญที่ลานธรรม ซึ่งเป็นสถานที่โล่งอากาศถ่ายเทได้สะดวกมากกว่า เพื่อลดความแออัดป้องกันการแพร่กระจายเชื้อ ป้องกันโควิด ตามนโยบายของภาครัฐด้วย
ขณะที่ พระอาจารย์มหา สง่า ปสุโต ประธานสงฆ์ ก็ได้บรรยายธรรมเทศนาแก่ผู้ที่มาร่วมทำบุญตักบาตร เพื่อให้นำหลักธรรมคำสอนไปปรับใช้ในชีวิตประจำวัน ทั้งให้ใช้ชีวิตอย่างมีสติในช่วงสถานการวิกฤตโควิด มีน้ำใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ มีน้ำใจ ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน
ประวัติความเป็นมา
วันเข้าพรรษา เป็นวันสำคัญในพุทธศาสนาวันหนึ่ง ที่พระสงฆ์เถรวาทจะอธิษฐานว่าจะพักประจำอยู่ ณ ที่ใดที่หนึ่ง ตลอดระยะเวลาฤดูฝนที่มีกำหนดระยะเวลา 3 เดือนตามที่พระวินัยบัญญัติไว้ โดยไม่ไปค้างแรมที่อื่น การเข้าพรรษานี้ถือเป็นข้อปฏิบัติสำหรับพระสงฆ์โดยตรง พระสงฆ์จะไม่จำพรรษาไม่ได้ เนื่องจากรูปใดไม่จำพรรษาถือว่าต้องอาบัติทุกกฏตามพระวินัย การเข้าพรรษาตามปกติเริ่มนับตั้งแต่วันแรม 1 ค่ำ เดือน 8 ของทุกปี (หรือเดือน 8 หลัง ถ้ามีเดือน 8 สองหน) และสิ้นสุดลงในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 หรือวันออกพรรษา
วันเข้าพรรษา (วันแรม 1 ค่ำ เดือน 8 หรือปีอธิกมาส จะเลื่อนเป็นวันแรม 1 ค่ำเดือน 8 หลัง) หรือเทศกาลเข้าพรรษา (วันแรม 1 ค่ำ เดือน 8 ถึงวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 หรือปีอธิกมาส จะเลื่อนเป็นวันแรม 1 ค่ำเดือน 8 หลัง ถึงวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11) ถือว่าเป็นวันและช่วงเทศกาลทางศาสนาพุทธที่สำคัญเทศกาลหนึ่งในประเทศไทย โดยมีระยะเวลาประมาณ 3 เดือนในช่วงฤดูฝน โดยวันเข้าพรรษาเป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาที่ต่อเนื่องมาจากวันอาสาฬหบูชา (วันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 8)
พุทธศาสนิกชนชาวไทยถือเป็นโอกาสอันดีที่จะบำเพ็ญกุศลด้วยการเข้าวัดทำบุญใส่บาตร ฟังพระธรรมเทศนา ซึ่งสิ่งที่พิเศษจากวันสำคัญอื่น ๆ คือ มีการถวายหลอดไฟหรือเทียนเข้าพรรษา และผ้าอาบน้ำฝน (ผ้าวัสสิกสาฏก) แก่พระสงฆ์ด้วย เพื่อสำหรับให้พระสงฆ์ได้ใช้สำหรับการอยู่จำพรรษา
โดยในอดีต ชายไทยที่เป็นพุทธศาสนิกชนเมื่ออายุครบบวช (20 ปี) จะนิยมถือบรรพชาอุปสมบทเป็นพระสงฆ์เพื่ออยู่จำพรรษาตลอดฤดูพรรษากาลทั้ง 3 เดือน โดยพุทธศาสนิกชนไทยจะเรียกการบรรพชาอุปสมบทเพื่อจำพรรษาตลอดพรรษากาลว่า "บวชเอาพรรษา"
สาเหตุที่พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตการจำพรรษาอยู่ ณ สถานที่ใดสถานที่หนึ่งตลอด 3 เดือนแก่พระสงฆ์นั้น มีเหตุผลเพื่อให้พระสงฆ์ได้หยุดพักการจาริกเพื่อเผยแพร่ศาสนาไปตามสถานที่ต่าง ๆ ซึ่งจะเป็นไปด้วยความยากลำบากในช่วงฤดูฝน เพื่อป้องกันความเสียหายจากการอาจเดินเหยียบย่ำธัญพืชของชาวบ้านที่ปลูกลงแปลงในฤดูฝน และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ช่วงเวลาจำพรรษาตลอด 3 เดือนนั้น เป็นช่วงเวลาและโอกาสสำคัญในรอบปีที่พระสงฆ์จะได้มาอยู่จำพรรษารวมกันภายในอาวาสหรือสถานที่ใดสถานที่หนึ่ง เพื่อศึกษาพระธรรมวินัยจากพระสงฆ์ที่ทรงความรู้ ได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์และสร้างความสามัคคีในหมู่คณะสงฆ์ด้วย
เนื่องจากในสมัยต้นพุทธกาล พระพุทธเจ้าไม่ได้ทรงวางระเบียบเรื่องการเข้าพรรษาไว้ แต่การเข้าพรรษานั้นเป็นสิ่งที่พระพุทธองค์และพระสงฆ์สาวกปฏิบัติกันมาโดยปกติเนื่องด้วยพุทธจริยาวัตรในอันที่จะไม่ออกไปจาริกตามสถานที่ต่าง ๆ ในช่วงฤดูฝนอยู่แล้ว เพราะการคมนาคมมีความลำบาก และโดยเฉพาะอย่างยิ่งพระสงฆ์ในช่วงต้นพุทธกาลมีจำนวนน้อยและส่วนใหญ่เป็นพระอริยะบุคคล จึงทราบดีว่าสิ่งใดที่พระสงฆ์ควรหรือไม่ควรกระทำ
ต่อมาเมื่อมีพระสงฆ์มากขึ้น และด้วยพระพุทธจริยาที่พระพุทธเจ้าจะไม่ทรงบัญญัติพระวินัยล่วงหน้า ทำให้พระพุทธเจ้าจึงไม่ได้ทรงบัญญัติเรื่องให้พระสงฆ์สาวกอยู่ประจำพรรษาไว้ด้วย จึงเกิดเหตุการณ์กลุ่มภิกษุจาริกไปในที่ต่าง ๆ โดยไม่ย่อท้อทั้งในฤดูหนาว ฤดูร้อน และฤดูฝน ทำให้ชาวบ้านได้พากันติเตียนว่า พวกพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนาไม่ยอมหยุดพักสัญจรแม้ในฤดูฝน ในขณะที่นักบวชในศาสนาอื่น พากันหยุดเดินทางในช่วงฤดูฝน
การที่พระภิกษุสงฆ์จาริกไปในที่ต่างๆ แม้ในฤดูฝน อาจเหยียบย่ำข้าวกล้าของชาวบ้านได้รับความเสียหาย หรืออาจไปเหยียบย่ำโดนสัตว์เล็กสัตว์น้อยที่ออกหากินจนถึงแก่ความตาย เมื่อพระพุทธเจ้าทราบเรื่อง จึงได้วางระเบียบให้ภิกษุประจำอยู่ ณ ที่ใดที่หนึ่ง เป็นเวลา 3 เดือนดังกล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี