“การนำเข้าแรงงานที่มีทักษะ ซึ่งบางคนอาจเรียกว่า Skill Migrant หรือ Knowledge Migrant จึงเป็นเครื่องมือสำคัญอันหนึ่งที่ทำให้ประเทศไทยสามารถขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศต่อไปได้โดยไม่ติดขัด แต่ที่ผ่านมาเราเน้นการนำเข้าแรงงานไร้ฝีมือหรือกึ่งฝีมือเข้ามาเป็นหลัก เรายังไม่มีเป้าหมายดึงดูดแรงงานที่มีทักษะอย่างชัดเจน เพราะฉะนั้นเราจำเป็นต้องเตรียมการและพัฒนานโยบายเหล่านี้ให้เกิดขึ้น”
คำกล่าวของ ผศ.ดร.สักกรินทร์ นิยมศิลป์ นักวิชาการสถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล ในการบรรยาย (ออนไลน์) หัวข้อ “การดึงดูดแรงงานที่มีทักษะ” ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในชุดงานการบรรยาย “นโยบายนำเข้าแรงงานข้ามชาติในยุค Global Citizen” เมื่อเร็วๆนี้ โดย ผศ.ดร.สักกรินทร์เริ่มต้นด้วยการกล่าวถึง “แผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี (2561-2580)” ตั้งเป้ายกระดับสู่ประเทศรายได้สูงมุ่งเน้นอุตสาหกรรมที่เพิ่มมูลค่า
นั้นทำให้มีความต้องการแรงงานที่มีทักษะถึง 2.3 ล้านคนในอีก 20 ปีข้างหน้า และ 2.5 แสนคนในปี 2570 อย่างไรก็ตาม ไทยนั้นขาดแคลนแรงงานด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี หรือบางส่วนแม้จะมีแต่ก็ยังจำเป็นต้องได้รับการฝึกอบรมเพิ่มขึ้น อีกทั้งต้องเน้นการถ่ายทอดเทคโนโลยีให้เข้มข้นขึ้น บวกกับการที่ประเทศไทยเข้าสู่สังคมสูงวัย ดังนั้นการขาดแคลนแรงงานทักษะจะเป็นปัญหาสำคัญในอนาคต
ผศ.ดร.สักกรินทร์ เล่าถึงประสบการณ์ที่เคยพูดคุยกับชาวต่างชาติซึ่งอยู่ในประเทศไทย ทั้งที่เป็นแรงงานทักษะและผู้เกษียณอายุแล้ว พบปัญหาที่ทำให้นโยบายดึงดูดแรงงานข้ามชาติที่มีทักษะเข้ามาทำงานในประเทศไทยได้ยาก อาทิ 1.กฎหมายคนเข้าเมืองล้าสมัย เน้นใช้บังคับเกี่ยวกับการควบคุมคนเดินทางเข้า-ออกประเทศโดยยังไม่มีการปรับปรุงให้ยืดหยุ่นตามแนวคิดการพัฒนาประเทศ
เช่น ยังบังคับให้ชาวต่างชาติทุกคนต้องรายงานตัวทุกๆ 3 เดือน โดยไม่แยกแยะว่าเป็นแรงงานไร้ฝีมือหรือแรงงานฝีมือ อีกทั้งยังใช้วิธีกรอกเอกสารมากมายแทนที่จะนำเทคโนโลยีแพลตฟอร์มเข้ามาใช้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังจะเห็นได้จากช่วงที่ไวรัสโควิด-19 เริ่มระบาดในช่วงแรกๆ ชาวต่างชาติต้องไปต่อคิวยาวเหยียดที่สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) เพื่อต่อวีซ่า และแม้จะมีระบบลงทะเบียนออนไลน์ แต่ก็พบว่าระบบล่มหลายครั้ง
2.เน้นการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้ามากกว่าระยะยาว ซึ่งควรมีข้อมูลว่าแต่ละอาชีพขาดแคลนเท่าไร มีความต้องการเท่าไร 3.ขาดการบูรณาการข้อมูลระหว่างหน่วยงานต่างๆ เช่น กระทรวงแรงงาน ออกใบอนุญาตทำงาน (Work Permit) มีอายุ 2 ปีขณะที่ ตม. จะต่อวีซ่าให้ครั้งละ 1 ปี โดยในหลายประเทศ 2 อย่างนี้จะเชื่อมโยงเป็นฐานข้อมูลเดียวกัน แรงงานยื่นขอเพียงจุดเดียวหากผ่านก็จะได้ทั้ง 2 อย่างพร้อมกัน
4.วิธีการออกใบอนุญาตทำงานยังไม่ปรับเปลี่ยนให้ตอบสนองโลกยุคดิจิทัล แรงงานยุคใหม่หลายคนทำงานผ่านระบบออนไลน์ ไม่ได้อยู่ประจำสำนักงาน หรือแม้แต่เป็นอาชีพอิสระ (Freelance) ไม่ได้ทำงานกับนายจ้างเพียงคนเดียว ซึ่งเมื่อไม่มีสัญญาจ้างระยะยาวก็ไม่สามารถขอใบอนุญาตทำงานได้ แต่เมื่อไม่มีใบอนุญาตทำงานแล้วมาทำงานมีรายได้ในประเทศไทยก็จะถูกจับกุมดำเนินคดี
5.การดึงดูดแรงงานทักษะยังไม่มีนโยบายแบบเชิงรุก เมื่อเปรียบเทียบกับต่างประเทศ เช่น สิงคโปร์ มีการตั้งหน่วยงานขึ้นตรงกับสำนักนายกรัฐมนตรีเพื่อดึงดูดคนที่สิงคโปร์ต้องการเข้ามา มีการสร้างแรงจูงใจ อาทิ การให้สัญชาติหรือให้สถานะผู้พำนักถาวรขณะที่ จีน ให้ทุนวิจัย อุดหนุนค่าที่พักและทุนการศึกษาบุตร เพื่อดึงดูดให้ชาวต่างชาติตลอดจนชาวจีนที่ไปอยู่ต่างแดนให้เข้าไปหรือกลับไปทำงานในประเทศจีนมากขึ้น
“แม้ว่าเราจะมี Smart VISA โดย BOI (สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน) ใช้เป็นเครื่องมือในการอำนวยความสะดวกให้กับคนที่มีทักษะให้มาทำงานในพื้นที่ EEC (โครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก) แต่ว่ายังมีปัญหาข้อจำกัดเยอะ Paperwork (ขั้นตอนงานเอกสาร) เยอะ มีอนุกรรมการหลายคณะเข้ามาพิจารณากลั่นกรองมากมาย มีการกำหนดคุณสมบัติขั้นสูงเยอะมาก เงินเดือนหลายแสนถึงจะขอ Smart VISA ได้ ซึ่งคนหนุ่ม-สาวรุ่นใหม่ บางคนเขามีทักษะแต่เงินเดือนอาจจะไม่ถึง หรือบางคนอยู่เมืองไทยอยู่แล้วแต่ไม่ได้มีวีซ่าทำงาน เพราะฉะนั้นเราก็ควรจะครอบคลุมคนกลุ่มนี้มากขึ้นด้วย ลดคุณสมบัติลงมาโดยเฉพาะเงินเดือนขั้นสูง” ผศ.ดร.สักกรินทร์ ระบุ
ผศ.ดร.สักกรินทร์ เสนอแนะว่า ควรทำแนวคิด “พลเมืองโลก (Global Citizenship)” มาปรับใช้เพื่อเปิดมุมมองให้กว้างขึ้น อาทิ 1.มีนโยบายเชิงรุก เช่น ทำให้วีซ่ามีหลากหลายประเภทเพื่อให้ครอบคลุมมากขึ้นโดยเฉพาะกลุ่ม Freelance รวมถึงบูรณาการฐานข้อมูลวีซ่าและใบอนุญาตทำงานเพื่อความสะดวกของแรงงานในการยื่นขอ 2.ปรับปรุง Smart VISA ให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้น และนำดิจิทัลแพลตฟอร์มมาใช้ กำหนดหลักเกณฑ์คุณสมบัติที่ต้องการให้ชัดเจน อีกทั้งควรมีคะแนนสำหรับชาวต่างชาติที่ทำงานในไทยอยู่แล้วมาเป็นเวลานานด้วย เพราะคนเหล่านี้อยู่มาจนเข้าใจประเทศไทยเป็นอย่างดี
3.อนุญาตให้ชาวต่างชาติกลุ่มเกษียณอายุแล้วเข้ามาพักอาศัยในประเทศไทยทำงานได้ หลายคนเป็นผู้เชี่ยวชาญและยังสามารถทำงานได้ การไม่อนุญาต
ให้ทำงานเท่ากับประเทศไทยเสียโอกาส 4.ขยายข้อตกลงร่วมรับมาตรฐานวิชาชีพกับต่างประเทศซึ่งปัจจุบันไทยก็มีอยู่แล้วกับกลุ่มประชาคมอาเซียนใน 8 อาชีพ แต่ยังมีข้อจำกัดซึ่งต้องแก้ไข รวมถึงขยายออกไปให้กว้างมากขึ้น
5.ส่งเสริมให้สถาบันการศึกษาของไทยร่วมมือกับต่างประเทศมากขึ้น เช่น การก่อตั้งวิทยาเขตของสถาบันการศึกษาชั้นนำ เห็นได้จากเพื่อนบ้านอาเซียนอย่างมาเลเซียและสิงคโปร์ มีมหาวิทยาลัยระดับนานาชาติหลายแห่งมาเปิดสาขาในประเทศดังกล่าว ทำงานทั้งด้านการสอนและการวิจัย อันดับมหาวิทยาลัยของสิงคโปร์และมาเลเซียจึงสูงขึ้นเรื่อยๆ ด้วยในอันดับโลก เพราะมีการเชื่อมโยงและถ่ายทอดความรู้ และ 6.จูงใจคนไทยในต่างแดน นอกจากผู้เชี่ยวชาญต่างชาติแล้ว ยังมีคนไทยอีกไม่น้อยเป็นแรงงานทักษะสูงทำงานอยู่ในต่างประเทศ เช่น แพทย์ สถาปนิก ซึ่งประเทศอย่างจีน สิงคโปร์ อิสราเอล มีนโยบายทั้งการให้ทุนวิจัย เชิญมาเป็นอาจารย์
ทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้และการพัฒนาทักษะในประเทศเกิดขึ้นได้รวดเร็ว!!!
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี