“Economic Populism (ประชานิยมทางเศรษฐกิจ) ผมก็เห็นด้วยในระยะยาวมันไม่ Sustainability (ยั่งยืน) มันไม่มีคุณภาพ เพราะมันมีเกิดการใช้จ่ายมากกว่าการหารายได้ทีนี้วิธีการแก้ Economic Populism มันมีวิธีการแก้ของมัน ก็คือการเป็น Welfare State คือการเปลี่ยนเป็นรัฐที่เป็นรัฐสวัสดิการ ก็คือต้องเน้นการหารายได้ด้วย เน้นการใช้จ่าย ก็คือทำตาชั่งให้มัน Balance (สมดุล) กัน แต่Economic Populism มันไม่เน้นการหารายได้ มันเน้นแต่การใช้จ่าย เพราะฉะนั้นมันก็เลย in a long run (ในระยะยาว)มันจะมีปัญหาทางเศรษฐกิจ”
ผศ.ดร.เชาวฤทธิ์ เชาว์แสงรัตน์ อาจารย์วิทยาลัยนวัตกรรมการจัดการ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลรัตนโกสินทร์ กล่าวไว้ตอนหนึ่งในการบรรยาย (ออนไลน์) เรื่อง “มายาคติ ของประชานิยมในไทย : บทเรียนจากลาตินอเมริกา” จัดโดย ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์มหาวิทยาลัยนเรศวร ร่วมกับ แผนงานคนไทย 4.0 มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เมื่อช่วงต้นเดือน ก.ย. 2564 ที่ผ่านมา
ในการบรรยายครั้งนี้ ผศ.ดร.เชาวฤทธิ์ อธิบายความหมายของ “ประชานิยม (Populism)” ว่ามีหลายมิติ อาทิ 1.ประชานิยมทางเศรษฐกิจ (Economic Populism) หมายถึง “การที่ผู้นำใช้นโยบายที่มุ่งเน้นการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ลดความเหลื่อมล้ำ กระจายรายได้ แต่ไม่คำนึงถึงข้อจำกัดทางด้านการคลัง” ประชานิยมทางเศรษฐกิจมุ่งเน้นการทำนโยบายเพื่อให้ประชาชนโดยเฉพาะชนชั้นรากหญ้าชื่นชอบ เน้นการใช้จ่ายของภาครัฐ เช่น จำนำข้าว นโยบายสาธารณสุขที่มีตั้งแต่บัตรทอง 30 บาทไปจนถึงรักษาฟรี เพิ่มเบี้ยผู้สูงอายุ 900 บาทต่อคนต่อเดือน เป็นต้น
แม้ประชานิยมทางเศรษฐกิจจะช่วยเร่งการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจและลดช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจน แต่ก็มีปัญหาคือไม่เน้นการหารายได้ ไม่พยายามเก็บภาษีเพิ่ม ไม่เร่งส่งเสริมการค้าขายระหว่างประเทศเพื่อหารายได้เข้าประเทศมาชดเชยรายจ่าย “สังคมไทยจะคุ้นเคยเป็นอย่างดีกับประชานิยมทางเศรษฐกิจ และถูกตอกย้ำเสมอว่าเป็นนโยบายอันตราย” ทำให้รัฐบาลขาดวินัยทางการคลัง และนำไปสู่ภาวะ “ถังแตก-หนี้ท่วม” ในที่สุด
2.ประชานิยมทางการเมือง (Political Populism) หมายถึง “ผู้นำที่มีลักษณะโดดเด่น มีเสน่ห์หรือบารมี (Charisma) และผู้นำดังกล่าวได้ใช้กลยุทธ์หรือวิธีการใดๆก็ตามเพื่อทำให้ผู้คนในสังคมหันมานิยมชมชอบตนเอง” เทใจเทคะแนนให้ตนเองได้ขึ้นสู่อำนาจหรือรักษาอำนาจได้ต่อไปอย่างไรก็ตาม “ผู้นำแบบประชานิยมทางการเมืองอาจไม่ได้ใช้นโยบายประชานิยมทางเศรษฐกิจเสมอไป” เช่น อดีตประธานาธิบดีเปรู อัลแบร์โต ฟูจิโมริ ได้รับความนิยมจากประชาชนเพราะใช้นโยบายปราบปรามกลุ่มกบฏฝ่ายซ้ายอย่างราบคาบ แต่ใช้นโยบายเศรษฐกิจแบบเสรีนิยม
อดีตประธานาธิบดีโคลอมเบีย อัลวาโร อูริเบ เป็นอีกผู้นำที่มีลักษณะประชานิยมทางการเมือง โดยได้รับความนิยมจากประชาชนเพราะสามารถยุติความขัดแย้งของกองกำลังกลุ่มต่างๆ ที่ทำให้เกิดสงครามกลางเมืองยืดเยื้อยาวนาน แต่ในทางเศรษฐกิจก็ใช้นโยบายแบบเสรีนิยม และ 3.ประชานิยมทางวัฒนธรรม (Cultural Populism) ประชานิยมลักษณะนี้ยกตัวอย่างง่ายๆ คือ “ดารา” ศิลปินนักร้อง-นักแสดงซึ่งมีแฟนคลับสนับสนุนผลงาน แต่ไม่มีนโยบายใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเมือง
สำหรับสังคมไทย นับตั้งแต่เมื่อ 2 ทศวรรษ ก่อนซึ่งพรรคการเมืองพรรคหนึ่งได้เปิดยุคสมัยใหม่ทางการเมือง ด้วยนโยบายประชานิยมเอาใจคนระดับฐานราก จนทำให้พรรคการเมืองทุกพรรคหลังจากนั้นต้องมีนโยบายทำนองเดียวกันออกมาแข่งขันบ้าง ได้กลายเป็นข้อถกเถียงตลอดมาระหว่างฝ่ายที่มองว่านโยบายแบบนี้ทำให้คนระดับล่างและกลางค่อนล่างได้ลืมตาอ้าปากไม่ต้องจนไปชั่วลูกชั่วหลาน กับฝ่ายที่เห็นว่านอกจากเป็นภาระทางการคลังแล้วยังทำให้คนเกียจคร้านไม่พัฒนาตนเอง และไม่เป็นธรรมต่อคนที่ต่อสู้ดิ้นรนจนมีรายได้ถึงเกณฑ์จ่ายภาษีเงินได้ด้วย
แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม “สายน้ำไม่อาจไหลย้อนกลับ”กระแสทั้งในประเทศและนานาชาติต่างมุ่งเน้นไปที่การลดความเหลื่อมล้ำ ลดช่องว่างที่ถ่างกว้างระหว่างผู้มั่งมีกับคนยากไร้ให้หดแคบลง โดยเฉพาะเมื่อทั้งโลกเผชิญกับวิกฤติโรคระบาด“โควิด-19” ที่ไม่ได้ส่งผลกระทบเฉพาะด้านสุขภาพเท่านั้น แต่ยังรวมถึงด้านเศรษฐกิจด้วย มาตรการล็อกดาวน์เพื่อควบคุมโรคทำให้กิจการจำนวนมากต้องหยุดหรือแม้แต่ปิดตัวลงผู้คนตกงาน หลายคนเครียดและตัดสินใจฆ่าตัวตายเป็นข่าวที่น่าเศร้าสลดหดหู่ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าจำนวนผู้เสียชีวิตจากไวรัสร้ายโดยตรง
และในสถานการณ์อันยากลำบากนี้ “คนจนเจ็บหนักกว่าคนรวย” หลายคนตกงานขาดรายได้ หรือที่ยังมีงานทำแต่รูปแบบงานก็ไม่สามารถทำจากที่บ้าน (Work from Home)ทำให้ต้องออกจากบ้านซึ่งเสี่ยงต่อการติดเชื้อ เมื่อติดเชื้อแล้วก็ยังมีข้อจำกัดในการเข้ารักษาในโรงพยาบาลหรือการกักตัว เป็นต้นสิ่งเหล่านี้นำไปสู่ข้อเรียกร้องให้รัฐบาล “เก็บภาษีผู้มั่งมี” เพื่อนำมาใช้พยุงสังคมและฟื้นฟูเศรษฐกิจในภาพรวมของแต่ละประเทศ
สหรัฐอเมริกา เป็นประเทศที่ผู้นำแสดงท่าทีสนับสนุนแนวคิดนี้อย่างชัดเจน ประธานาธิบดี โจ ไบเดน กล่าวเมื่อช่วงปลายเดือน เม.ย. 2564 เปิดเผยแผนขึ้นภาษีผู้ที่มีรายได้จากการลงทุนมากกว่า 1 ล้านเหรียญสหรัฐต่อปี เป็น 2 เท่าจากที่เก็บอยู่เดิม และปรับเพดานการจัดเก็บภาษีเงินได้จากสูงสุดร้อยละ 37 ขึ้นไปเป็นร้อยละ 39.6 ส่วนการใช้จ่ายงบประมาณ จะมุ่งเน้นช่วยเหลือครอบครัวชาวอเมริกันที่ต้องดูแลบุตรหลานอายุน้อยๆ การอุดหนุนค่าเล่าเรียนสำหรับวิทยาลัยชุมชนเพื่อให้ประชาชนไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย ไปจนถึงพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน สถานดูแลผู้สูงอายุ เป็นต้น
จีน มหาอำนาจคู่แข่งสำคัญของสหรัฐฯ ก็กำลังขยับไปในทางเดียวกัน รายงานข่าวจากสื่อมวลชนจีนช่วงเดือน ส.ค. 2564 อ้างถึงคำปรารภของประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ในการประชุมคณะกรรมการด้านการเงินและเศรษฐกิจกลางของพรรคคอมมิวนิสต์ ว่ารัฐบาลต้องหาทาง “ควบคุมรายได้ที่สูงเกินไปของบางคนหรือบางกลุ่ม” ซึ่งหมายถึงมหาเศรษฐีหรือภาคธุรกิจที่ร่ำรวยมหาศาล ถึงเวลาแล้วที่ผู้มั่งมีต้องคืนกำไรสู่สังคมให้มากขึ้น เพื่อให้ประเทศจีนบรรลุเป้าหมาย “มั่งคั่งร่วมกัน” ซึ่งแม้จะยังไม่กล่าวถึงวิธีการ แต่กลไกภาษีน่าจะเป็นหนึ่งในสิ่งที่ถูกนำมาใช้
ในเดือน มิ.ย. 2564 รัฐบาล อินโดนีเซีย ประกาศแผนเก็บภาษีความมั่งคั่ง โดยเพิ่มเพดานภาษีเงินได้จากสูงสุดร้อยละ 30 เป็นร้อยละ 35 มุ่งเน้นผู้ที่มีรายได้มากกว่า 5 พันล้านรูเปียห์ หรือ 349,500 เหรียญสหรัฐต่อปี ซึ่งเป็นหนึ่งในแผนปฏิรูประบบภาษี หลังเผชิญภาวะขาดดุลงบประมาณจากการทุ่มงบฯ ไปกับการรับมือโควิด-19 ส่วน ไทย ในเดือน ก.ค. 2564 นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสของธนาคารโลก (World Bank) คิม เอ็ดเวิร์ดส เสนอให้รัฐบาลจัดเก็บภาษีจากบุคคลที่มีความมั่งคั่งสุทธิสูง และเพิ่มภาษีกำไรจากการขายสินทรัพย์ เพื่อบรรรเทาปัญหาขาดดุลงบประมาณ
“ความเหลื่อมล้ำ” เป็นปัญหายาวนาน “โควิด” แค่ฉายภาพให้ชัดขึ้น “เก็บภาษีคนรวย-กระจายความมั่งคั่ง-ลดช่องว่างทางสังคม” จึงกลายเป็นกระแสโลกดังที่เห็นในปัจจุบัน!!!
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี