“วิชา มหาคุณ” เผยองค์กรอัยการในฐานะ “ทนายแผ่นดิน” อย่าไปกลัวจะทำงานผิดพลาด สอบวินัย “เนตร นาคสุข” เป็นเรื่องดี เปิดโอกาสให้พิสูจน์ความบริสุทธิ์ เห็นด้วย แก้ “พ.ร.บ.ตำรวจ” ให้อัยการร่วมสอบสวนคดีอัตราโทษจำคุก 10 ปีขึ้นไป
22 กันยายน 2564 นายวิชา มหาคุณ อดีตประธานสอบข้อเท็จจริงเบื้องต้นที่นายกรัฐมนตรีแต่งตั้งให้สอบสวนนายเนตร นาคสุข อดีตรองอัยการสูงสุด เปิดเผยว่า มีคนถามมา เมื่อผลการพิจารณาของที่ประชุมคณะกรรมการอัยการ (ก.อ.) มีมติให้ตั้งกรรมการสอบวินัยร้ายแรง นายเนตร นาคสุข ทำให้ตนหายเหนื่อยเลยหรือไม่นั้น ตนทำไปตามหน้าที่ อย่างตรงไปตรงมา และยังมีความรู้สึกที่ดีต่อสำนักงานอัยการสูงสุดเสมอ ตนเคยเป็นอัยการจังหวัดผู้ช่วยมาก่อน เข้าใจอัยการดี และอัยการก็ยังมีคนที่มีหลักการมีความรู้ทำงานตรงไปตรงมาอยู่เช่นเดียวกันไม่เช่นนั้นองค์กรจะไปไม่รอด
ผู้สื่อข่าวถามว่ามีอัยการส่วนหนึ่งมองว่าต่อไปเมื่ออัยการคนหนึ่ง สั่งคดีผิดพลาดจะถูกมองว่า ประมาท และอาจนำไปสู่การถูกตั้งกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรง จนอัยการกลัวไม่กล้าทำงาน มองเรื่องนี้อย่างไร นายวิชากล่าวว่า ไม่ใช่เรื่องที่จะกลัว อัยการเป็นตัวแทนของรัฐจนได้ชื่อว่าเป็น “ทนายแผ่นดิน” จะไปคิดกลัวว่าจะทำงานผิดพลาดไม่ได้ การที่นายเนตรถูกตั้งกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรงถือว่าเป็นการให้โอกาสนายเนตรเสียด้วยซ้ำ เพราะ สามารถนำพยานหลักฐานมาพิสูจน์ว่าตัวเองบริสุทธิ์ และแม้ว่าจะมีการตั้งนายธนพิชญ์ มูลพฤกษ์ ซึ่งเป็น 1 ใน 9 ก.อ. ที่ลงมติให้สอบวินัยร้ายแรงนายเนตร แล้วถูกตั้งให้ไปเป็นประธานคณะกรรมการสอบวินัยร้ายแรง ก็ไม่มีผลอะไร เพราะใน ก.อ. นายธนพิชญ์ ทำหน้าที่ในกรรมการอัยการผู้ทรงคุณวุฒิ และเมื่อนายธนพิชญ์ได้รับเลือกให้มาทำหน้าที่เป็นประธานสอบสวนวินัยร้ายแรงอีกครั้ง ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ต้องว่ากันต่อไป
ผู้สื่อข่าวถามว่า เมื่อครั้งที่เป็นกรรมการสอบข้อเท็จจริงชุดของรัฐบาลแต่งตั้งขึ้น ในส่วนของนายเนตร เคยได้ข้อสรุปแล้วในขณะนี้ แต่ยังมีการเสนอรัฐให้แก้ไขปรับปรุงกระบวนการยุติธรรมทางอาญาของไทย เรื่องนี้ยังมีเรื่องที่ต้องต้องทำต่อไปอย่างไร
นายวิชา กล่าวว่า เรื่องดังกล่าวก็คือร่าง พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ ซึ่งหยุดการหารือไปนาน กำลังจะเริ่มประชุมอีกครั้งวันที่ 24 กันยายน นี้โดยกรรมาธิการวิสามัญมีสาระสำคัญ 14 มาตรา
ส่วนแรกเกี่ยวกับนโยบาย การตั้งคณะกรรมการตำรวจเรื่องต่อไปคือการต้องมีคณะผู้พิทักษ์ระบบคุณธรรมและการต้องมีคณะกรรมการรับเรื่องราวร้องทุกข์ของตำรวจอีก 3 ชุด และเรื่องของการแต่งตั้งตำรวจต้องประเมินอาวุโสคุณธรรม ความรู้ความสามารถ และเรื่องที่สำคัญคือแยกงานที่ไม่ใช่งานของตำรวจออกไป เช่น การสอบสวนคดีอาญาจะต้องแยกไปอย่างชัดเจนซึ่งร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวคงยังไม่จบง่ายๆโดยเฉพาะ ในส่วนของอำนาจการสอบสวนของพนักงานอัยการที่จะเข้ามาสอบสวน แทนพนักงานสอบสวนในคดีสำคัญต่างๆหรือคดีอัตราโทษจำคุก 10 ปีขึ้นไปที่ให้อัยการเข้าไปสอบสวนตั้งแต่เริ่มแรก
สาระสำคัญคือการกำหนดให้พนักงานอัยการ เข้าไปร่วมสอบสวน ควบคุมการสอบสวนคดีสำคัญๆ ตั้งแต่เริ่มต้นอัยการจะสามารถควบคุมสำนวนการสอบสวนโดยใช้ความรู้ความชำนาญในการสอบสวน โดยอัยการจะไม่ทำเพียงรับสำนวนมาแล้วสั่งสอบเพิ่มเติมแล้วสั่งฟ้องหรือสั่งไม่ฟ้อง แต่ตามกฎหมายใหม่ที่อยู่ระหว่างพิจารณานี้ อัยการจะเข้าทำการสอบสวนโดยใช้วิทยาการชั้นสูง เมื่ออัยการเข้ามาดูสำนวนตั้งแต่แรกก็จะสามารถวางรูปคดีให้เกิดความยุติธรรมมาตั้งแต่เริ่มต้น
ผู้สื่อข่าวถามว่าหากร่างกฎหมายดังกล่าวผ่านการพิจารณา ภาพลักษณ์ของอัยการจะดีขึ้นอย่างไร นายวิชา กล่าวว่า เมื่อ ทำให้เกิดความยุติธรรม ก็จะทำให้เกิดความเชื่อมั่น ความเชื่อถือก็จะเกิดขึ้น และทำให้ประชาชนไว้วางใจ ไม่มีความคลางแคลงใจอีกต่อไป ตนยังเชื่อว่าอัยการมีบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถและมีบทบาทมากขึ้น อัยการจะต้องไม่ทำให้กระบวนการที่ทำมารวนเร อัยการต้องทำให้คนมีความเชื่อถือศรัทธา แล้วคนจะนับถืออัยการเอง
-005
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี