24 กันยายน “วันมหิดล” ถือเป็นวันคล้ายวันสวรรคตของ สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก
ปีพ.ศ. 2564 ทางการกำหนดให้ “24 กันยายน”เป็นวันหยุดพิเศษปีแรก และหลายโรงพยาบาลร่วมรำลึกถึง “เจ้านาย” เจ้าฟ้าพระองค์นี้ด้วยการเปิดรับWalk-In ฉีดวัคซีนโควิด-19 ให้แก่ประชาชนอีกด้วย นอกเหนือจากการรับบริจาคสมทบทุนศิริราชมูลนิธิ ซึ่งเป็นกิจกรรมต่อเนื่องมายาวนาน
“ธงที่ระลึกวันมหิดล” จัดทำขึ้นเพื่อสมนาคุณแด่ผู้บริจาคเงินช่วยเหลือผู้ป่วยยากไร้ของโรงพยาบาลศิริราช ความคิดเรื่อง “ธง” มีมาตั้งแต่วันมหิดล ปีพ.ศ.2503 “สี” ของธงมีความหมาย โดยเปลี่ยนไปตามวันในสัปดาห์ของ “วันมหิดล” ปีนั้นๆ
ปีนี้ปี 2564 “วันมหิดล” ตรงกับ “วันศุกร์” สีฟ้าสดใส
“สมเด็จเจ้าฟ้ามหิดล” ทรงเป็นพระโอรสองค์ที่ 69 ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 และองค์ที่ 7 ของสมเด็จพระนางเจ้าสว่างวัฒนา พระบรมราชเทวี (สมเด็จพระศรีสารินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า ในรัชกาลที่ 8 และรัชกาลที่ 9)
สมเด็จเจ้าฟ้ามหิดล ทรงสำเร็จการศึกษาวิชาทหารเรือ จากประเทศเยอรมนี ทรงเข้ารับราชการประจำกองอาจารย์ โรงเรียนนายเรือ (10 ส.ค.2458 ถึง 19 ม.ค.2459) และลาออกจากทหารเรือด้วย “ทำงานในกองทัพเรือไม่ราบรื่น ทำอะไรไม่ได้ตามที่ตั้งใจจะทำ”
กรมพระยาชัยนาทฯ (พระเจ้าลูกยาเธอพระองค์เจ้ารังสิตประยูรศักดิ์) เป็นผู้โน้มน้าวให้สมเด็จเจ้าฟ้ามหิดลอดุลยเดชสนพระทัยวิชาการแพทย์
“กรมพระยาชัยนาทฯ” ก็พามาที่ ศิริราช มาดูความทุกข์ของคนที่อยู่ในศิริราช ก็ได้ชักชวนบอกว่า ถ้ามาทำงานในด้านสาธารณสุขมีทางที่จะช่วยคนได้มาก”
ประกอบกับ “สมเด็จเจ้าฟ้ามหิดล” ทรงมี “ความรักแม่” ดังได้ถ่ายทอดความในพระทัยต่อสมเด็จกรมพระยาดำรงฯ ซึ่งทรงเรียกว่า “อากรม” ดังนี้... “ตั้งแต่หม่อมฉันเกิดมาเห็นแต่สมเด็จแม่ทรงทุกข์โศก ไม่มีอะไรที่จะทำให้ชื่นพระหฤทัยเสียเลย สงสารสมเด็จแม่จึงคิดว่าลูกผู้ชายของท่านก็เหลืออยู่แต่หม่อมฉันคนเดียว ควรจะสนองพระคุณด้วยการทำงานอย่างหนึ่งให้สมเด็จแม่ทรงยินดี ด้วยเห็นลูกสามารถทำความดีให้เป็นคุณประโยชน์แก่บ้านเมือง ไม่ได้เลี้ยงมาเสียเปล่า...จึงคิดว่าการช่วยชีวิตผู้คนพลเมืองเป็นการสำคัญอย่างหนึ่ง ซึ่งหม่อมฉันอาจทำได้โดยลำพังตัว เพราะทรัพย์สินส่วนตัวมีพอจะเลี้ยงชีวิตแล้ว จะสละเงินที่ได้รับพระราชทานในส่วนที่เป็นเจ้าฟ้าเอามาใช้เป็นทุนทำการตามความคิดให้เป็นประโยชน์แก่บ้านเมือง ด้วยเหตุดังทูลมานี้ หม่อมฉันจึงไม่ทำราชการ”
“สมเด็จเจ้าฟ้ามหิดล” เสด็จลาออกจากเป็น นายทหารเรือ “ไปทรงศึกษาวิชาในอเมริกา ก็ทรงแสวงหาความรู้และความสามารถที่จะทำการให้เกิดประโยชน์แก่บ้านเมืองโดยทางอนามัย ที่มีพระหฤทัยจำนงมาแต่แรก ความที่ทรงพยายามนั้นเป็นเหตุให้พวกมูลนิธิร็อคกี้เฟลเล่อร์นับถือ ถึงรับให้ทุนและหาผู้ชำนาญส่งมาช่วยกันบำรุงอนามัยในประเทศสยามให้เกิดประโยชน์ เช่น บำรุงโรงเรียนวิชาแพทย์และวิธีรักษาพยาบาล เป็นต้น ดีขึ้นกว่าแต่ก่อนเป็นอันมาก การเหล่านี้ล้วนเป็นด้วยสมเด็จพระราชบิดา (สมเด็จเจ้าฟ้ามหิดล) ทรงขวนขวายชักนำมา และเอาพระหฤทัยใส่ ทรงอุปการะมาตลอดพระชนมายุ...” (สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์) ทรงบรรยาย ณ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ณ วันที่ 2 กันยายน 2526)
พระอาจารย์ในมหาวิทยาลัยแพทย์ที่ดีที่สุดในโลก HARVARD ที่ “สมเด็จเจ้าฟ้ามหิดล” ทรงศึกษาขณะนั้น ทุกคนทราบดีว่า “เจ้านาย” พระองค์นี้ไม่ “ท้อถอย” แม้พระวรกาย “จะไม่แข็งแรง”
พระอาจารย์ท่านหนึ่งยกย่องพระองค์ว่ามี “มนุษยธรรม” สูงส่ง “เห็นความทุกข์ของคน ก็อยากจะบรรเทาทุกข์ของคน เพราะตนเองรู้ดีว่า ความทุกข์นั้นคืออะไร”
“สมเด็จเจ้าฟ้ามหิดล” ทรงเป็น “พระบิดาแห่งการแพทย์แผนปัจจุบัน และการสาธารณสุขของไทย” ด้วยทรงสละทั้งกำลังพระวรกาย กำลังทรัพย์ กำลังพระสติปัญญา เพื่อบำบัดทุกข์ บำรุงสุขของประชาชนชาวไทย
1 มกราคม 2535 ทรงได้รับการยกย่องเป็นบุคคลสำคัญของโลกด้านการศึกษาวิทยาศาสตร์การแพทย์ การพยาบาล และการสาธารณสุข เนื่องในวาระฉลองครอบรอบ 100 ปี วันคล้ายวันพระราชสมภพโดย UNESCO
ลายพระหัตถ์ที่สืบทอดมาถึง “แพทย์” ทุกวันนี้
“True success is not in the learning,But in its application to the benefit of mankind”“พระ” ผู้อุบัติมา เพื่อให้โลกนี้ ดีขึ้น โดยแท้
(CR : 120 ปี มหิดลอดุลยเดช / คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล)
กฤษณ์ ศิรประภาศิริ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี