ย้อนไปเมื่อเกือบ 3 เดือนที่แล้ว เกิดเหตุเพลิงไหม้และระเบิดที่โรงงานผลิตโฟมและเม็ดพลาสติก บริษัท หมิงตี้เคมิคอล จำกัด ภายในซอยกิ่งแก้ว 21 ถนนกิ่งแก้ว ต.บางพลีใหญ่ อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ ตั้งแต่เช้ามืดวันที่ 5 ก.ค. 2564 ซึ่งต้องใช้เวลาข้ามวันข้ามคืนกว่าจะควบคุมเพลิงไว้ได้ เนื่องจากมีการเก็บสารเคมีที่เป็นเชื้อเพลิงไว้เป็นจำนวนมาก โดยเหตุการณ์ครั้งนี้มีอาสากู้ภัยเสียชีวิตขณะปฏิบัติหน้าที่ 1 ราย และบาดเจ็บอีกหลายราย รวมถึงชาวบ้านในรัศมี 5 กิโลเมตรรอบโรงงาน ต้องอพยพไปอยู่ศูนย์พักพิงเป็นการชั่วคราว
หลังเหตุการณ์สงบลง มีความพยายาม “ถอดบทเรียน” ในหลายมิติ ทั้งกรณีที่อุตสาหกรรมก่อสร้างและดำเนินกิจการก่อนชุมชนขยายมาถึง ซึ่งในประเทศไทยมีพื้นที่แบบนี้หลายจุด จะทำอย่างไรในการลดความเสี่ยงไม่ให้ซ้ำรอยกรณีโรงงานหมิงตี้ หรือแผนเผชิญเหตุในระดับท้องถิ่นจนถึงหน่วยงานส่วนกลาง ตลอดจนการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ ล่าสุดเมื่อเร็วๆ นี้ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ก็ได้กล่าวถึงเรื่องนี้เช่นกัน
ชัชชาติเปิดเผยว่า ตนและทีมงาน “เพื่อนชัชชาติ” สนใจเหตุการณ์นี้ เพราะถือเป็นภัยพิบัติครั้งใหญ่ที่นำมาซึ่งความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สิน ขณะเดียวกัน ได้เห็นถึงความไม่พร้อมในการแก้ไขวิกฤตครั้งนี้ รวมถึง เรื่องความไม่เข้มงวดของกฎหมายผังเมืองที่ปล่อยให้โรงงานเก็บสารเคมีอันตรายสามารถอยู่ร่วมกับชุมชนในระยะอันใกล้โดยปราศจากมาตรการควบคุม และ ความไม่พร้อมในการรับมือจากภัยพิบัติที่เกิดขึ้นรวมถึงไม่เห็นถึงมาตรการเยียวยาและการบรรเทาผู้ที่ได้รับความเสียหายอย่างเป็นรูปธรรม
“จำเป็นอย่างยิ่งที่จะมีต้องมีการทบทวน และมีการถอดบทเรียนการเกิดภัยพิบัตินี้มาเป็นแนวทางในการเตรียมความพร้อมและมองให้เห็นช่องว่างที่เป็นปัจจัยลบ อันจะมีผลกระทบในระยะยาวและทำการอุดช่องว่างนั้นๆ เพื่อสามารถป้องกันไม่ให้เกิตเหตุดังกล่าวขึ้นอีกในอนาคต เราได้นำบทเรียนในครั้งนี้มาเป็นกรณีศึกษาเพื่อสร้างหัวใจของการรับมือภัยพิบัติที่อาจเกิดขึ้นได้ในทุกที่ ซึ่งปัจจุบันกรุงเทพฯ มีที่ดินประเภทอุตสาหกรรมหรือโซนสีม่วงอยู่ 3 แห่ง ได้แก่ 1.นิคมอุตสาหกรรมลาดกระบัง 2.ชายทะเลบางขุนเทียน และ 3.เอกชัย-บางบอน” ชัชชาติ กล่าว
อดีต รมว.คมนาคม กล่าวต่อไปว่า ทีมงานเพื่อนชัชชาติได้จัดทำข้อเสนอเชิงนโยบายมาเป็นแนวทาง “3 พร้อม-5 กำแพง-1 เยียวยา” โดย “พร้อมที่ 1 ก่อนเกิดเหตุ” มี 2 กำแพงที่ควรคำนึงถึง คือ “กำแพงที่ 1” การพิจารณาเรื่องผังเมืองและการจัดการพื้นที่ กับ “กำแพงที่ 2” คือ การจัดเก็บวัตถุอันตราย “พร้อมที่ 2 ช่วงเกิดเหตุ” มี 3 กำแพงที่จำเป็นต้องพิจารณา คือ “กำแพงที่ 3” การระงับเหตุด้วยตนเอง “กำแพงที่ 4” คือ การระงับเหตุจากหน่วยงานรัฐ และ “กำแพงที่ 5” การอพยพ และ “พร้อมที่ 3 หลังเกิดเหตุ” สิ่งต้องคำนึงถึงมากที่สุด คือ มาตรการเยียวยา
เมื่อวิเคราะห์จากนโยบายของแผนปฏิบัติการ ป้องกันและบรรเทาภัยจากอัคคีภัยกรุงเทพมหานคร ประจำปี พ.ศ.2563 และแผนปฏิบัติการป้องกันและบรรเทาภัยจาก สารเคมีและวัตถุอันตรายกรุงเทพมหานคร ประจำปี พ.ศ.2563 1.เรื่องผังเมืองและการจัดการพื้นที่ พบว่า มีการอนุญาตให้โรงงานหมิงตี้ขยายพื้นที่และกำลังในการผลิตซึ่งขัดกับผังเมือง อีกทั้งไม่พบการเผยแพร่การประเมินหรือแผนที่ความเสี่ยงรอบโรงงาน ทำให้ขาดการตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับสุขลักษณะและความปลอดภัยของประชาชนโดยรอบ
ซึ่งเกิดขึ้นจากการใช้ประโยชน์ที่ดินที่ไม่ถูกต้องตามจำแนกประเภท การดำเนินการที่ถูกต้องควรจัดทำแผนที่และประเมินความเสี่ยงในทุกพื้นที่ของกรุงเทพฯ เพื่อเผยแพร่ให้ประชาชนทราบ หากพื้นที่นั้นมีความเสี่ยงสูงและการใช้ประโยชน์ที่ดินผิดต้องเสนอเรื่องให้คณะกรรมการผังเมืองจังหวัดดำเนินการต่อไป โดยการบังคับใช้กฎหมายต้องเป็นไปตามกฎหมายที่แท้จริง
2.การจัดเก็บวัตถุอันตราย พบว่าโครงสร้างอาคารที่ใช้จัดเก็บสารสไตรีนโมโนเมอร์ของโรงงานหมิงตี้ ไม่สามารถจำกัดความรุนแรงในการเกิดเหตุหรือป้องกันการระเบิดได้ ทำให้กลายเป็นจุดเริ่มต้นของภัยพิบัติในครั้งนี้ จึงควรมีการเตรียมความพร้อมเพื่อลดความเสียหายที่จะเกิดขึ้น โดยการประสานงานร่วมกับกรมโรงงานให้ดำเนินการตรวจสอบระบบการป้องกันอัคคีภัย การเก็บรักษา และระบบความปลอดภัยของวัตถุอันตรายที่อยู่ในพื้นที่อย่างสม่ำเสมอ ซึ่งข้อมูลวัตถุอันตรายควรเป็นสาธารณะ ง่ายต่อการเข้าถึง เพื่อเป็นข้อมูลสำหรับประชาชน
3.การระงับเหตุด้วยตนเอง สารเคมีที่ระเบิดและไฟไหม้ที่ลุกลามเป็นวงกว้างนั้น เกิดจากมาตรการคุ้มครองความปลอดภัยในโรงงานไม่ครบถ้วนตามที่กฎหมายกำหนด ในสถานการณ์ฉุกเฉินไม่ควรรอความช่วยเหลือ ทุกโรงงานจะต้องมีระบบอัตโนมัติในการจัดการตนเอง จึงเสนอให้หน่วยงานที่มีส่วนเกี่ยวข้องให้ความสำคัญกับ พ.ร.บ.ควบคุมอาคารเพื่อขยายอำนาจในการลงพื้นที่หรือส่งต่อให้เอกชนดำเนินการตรวจสอบ รวมถึงจัดทำแผนดำเนินการเชิงรุกตรวจสอบมาตรการระงับเหตุของโรงงานต่างๆ อย่างสม่ำเสมอ
4.การระงับเหตุจากหน่วยงานรัฐ จากเหตุการณ์นี้จะเห็นถึงความไม่พร้อม ได้แก่ “อุปกรณ์เผชิญเหตุของเจ้าหน้าที่”ส่งผลให้มีเจ้าหน้าที่บาดเจ็บและเสียชีวิต “ข้อมูลสาเหตุของต้นเพลิง” ทำให้การระงับเหตุเป็นไปด้วยความล่าช้า “การสื่อสารที่สับสน” เนื่องจากขาดความรวดเร็วและสม่ำเสมอ ดังนั้นต้องเพิ่มความตื่นตัวในการทำงานเพื่อการระงับเหตุ ทั้งการจัดเตรียมอุปกรณ์ การซักซ้อม แนวทางการสื่อสารกับประชาชนทั้งเนื้อหาและความถี่ รวมถึงจัดเตรียมศูนย์พักพิงชั่วคราวให้พร้อมอยู่เสมอ ตลอดจนเรียกข้อมูลตามกำแพงที่ 1 มาใช้วิเคราะห์เหตุการณ์
และ 5.การอพยพ กรณีไฟไหม้โรงงานหมิงตี้ พบว่าประชาชนได้รับความสับสนเป็นอย่างมาก เนื่องจากไม่มีระบบแจ้งเตือนและแนวทางให้กับประชาชนในพื้นที่เสี่ยงภัย อีกทั้งการออกคำสั่งให้อพยพและการจัดตั้งศูนย์พักพิงชั่วคราวไม่สอดคล้องกัน ทำให้การอพยพเป็นไปด้วยความไม่แน่ใจรวมถึงการจราจรที่เป็นปัญหา เพื่อเป็นการอุดรูรั่วปัญหานี้ ผู้อำนวยการที่มีอำนาจสูงสุดจึงควรมอบหมายไปยังผู้มีอำนาจในพื้นที่เพื่อความคล่องตัวในการสั่งการเพื่ออพยพ มีการจัดตั้งศูนย์พักพิงชั่วคราว รวมถึงเส้นทางการเดินทาง ซึ่งข้อมูลสถานที่ในการอพยพควรดำเนินการรวบรวมและจัดเตรียมไว้ล่วงหน้า โดยเฉพาะแนวทางการสื่อสารกับประชาชน
ในด้านของ “มาตรการเยียวยา” เหตุการณ์นี้ได้ผ่านพ้นไปแล้วมากกว่า 60 วัน แต่มาตรการความช่วยเหลือยังคงไม่ชัดเจนและกระจัดกระจาย การเยียวยาเป็นไปอย่างล่าช้า รวมถึง
ไม่มีการตรวจสุขภาพของประชาชนและเจ้าหน้าที่ที่ได้รับผลกระทบ แท้จริงแล้วภาครัฐควรดำเนินการเชิงรุกให้มากกว่านี้ ไม่ว่าจะเป็นการสำรวจความเสียหาย รวบรวมสิทธิประโยชน์ ติดตามการชดเชย ตลอดจนประสานความร่วมมือไปยังสำนักอนามัยและสำนักการแพทย์ลงพื้นที่ตรวจสุขภาพ
เพื่อประเมินผลกระทบด้านสุขภาพที่อาจเกิดขึ้นได้ในอนาคต!!!
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี