จินตนา จันทร์บำรุง
หลายต่อหลายฝ่ายพยายามออกมาส่งเสียงและขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาความรุนแรงในสังคมไทยทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นความรุนแรงในครอบครัว ทั้งทางร่างกาย จิตใจ ไปจนถึงความรุนแรงทางเพศ แต่ดูเหมือนว่ายังไม่มีทีท่าว่าจะลดลงไป ในทางกลับกัน กลับพบว่าเพิ่มจำนวนมากขึ้น แถมลักษณะการก่อเหตุมีความรุนแรงมากขึ้นด้วย
ล่าสุดเกิดเหตุสลดที่จังหวัดสระบุรี กรณีพ่อเลี้ยงโหด ทารุณกรรมลูกเลี้ยงวัย 8 ขวบ สารพัดวิธี จนเสียชีวิต เกี่ยวกับเรื่องนี้ นางสาวอังคณา อินทสา หัวหน้าฝ่ายส่งเสริมความเสมอภาคระหว่างเพศ มูลนิธิหญิงชายก้าวไกล ระบุว่า ความรุนแรงในครอบครัว โดยเฉพาะยุคโควิด มีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น น่าตกใจที่ผู้ก่อเหตุ มีทั้งพ่อเลี้ยง และพ่อแท้ๆ สัดส่วนไม่ต่างกัน ซึ่งจากการเก็บข้อมูลสถิติผ่านหนังสือพิมพ์ปี 2559 มีข่าวพ่อเลี้ยงฆ่าลูกเลี้ยง 9 เหตุการณ์ ขณะที่พ่อแท้ๆ ฆ่าลูก
8 เหตุการณ์ ส่วนปี 2561 พบข่าวพ่อเลี้ยงฆ่าลูกเลี้ยง 12 เหตุการณ์ พ่อแท้ๆ ฆ่าลูก 13 เหตุการณ์ รวมแล้ว 25 เหตุการณ์
หากวิเคราะห์แล้ว ความรุนแรงที่เกิดขึ้นเกิดจากทัศนคติหลายอย่างประกอบกัน อย่างน้อย คือ 1. ทัศนคติของผู้หญิง มองว่าครอบครัวที่สมบูรณ์คือ ต้องมีพ่อ แม่ ลูก ทำให้หลายๆ คนยอมจำนนต่อเหตุความรุนแรง 2.ทัศนคติของฝ่ายชาย ที่มองว่าชายเป็นใหญ่ มีอำนาจเหนือกว่าฝ่ายหญิง และ 3.ทัศนคติของพ่อ แม่ ที่มองว่าลูกคือสมบัติ พ่อแม่เป็นเจ้าของชีวิต และความเชื่อที่ว่าการทำความรุนแรง ลงโทษนั้นทำไปเพราะความรัก และตัวกระตุ้นสำคัญคือ “เครื่องดื่มแอลกอฮอล์” ที่ทำให้ควบคุมสติไม่ได้
ณัฐวุฒิ บัวประทุม
ดังนั้น ก็ต้องตั้งคำถามกลับมาที่สังคมด้วยในฐานะที่เป็นผู้หล่อหลอมทัศนคติเหล่านี้ และนำไปสู่ความรุนแรงที่เพิ่มมากขึ้นต้องลุกขึ้นมาปรับทัศนคติกันใหม่ทั้ง 3 ส่วน เพิ่มด้วยการปรับทัศนคติของหน่วยงานที่ให้การช่วยเหลือรับเรื่องร้องทุกข์ เข้าถึงได้ง่าย ไม่ยอมรับความรุนแรงทุกรูปแบบ ไม่นิ่งเฉย อย่ามองว่าเป็นเรื่องภายในครอบครัว
สอดคล้องกับ นางทิชา ณ นคร ที่ปรึกษามูลนิธิเด็กเยาวชนและครอบครัว ที่วิเคราะห์สังคมไทยได้อย่างลึกซึ้งว่า ความรุนแรงในครอบครัว ค่านิยมภายใต้ระบบสังคมชายเป็นใหญ่ ได้พรากชีวิตเด็กที่บริสุทธิ์ไปนับไม่ถ้วน และทุกครั้งที่เกิดความสูญเสีย ความตาย จะมีเสียงเกรี้ยวกราดต่อผู้กระทำและผู้ไม่กระทำ แต่ไม่ปกป้องเด็กอย่างสมเหตุสมผล พอเวลาผ่านไปการส่งเสียงจะน้อยลง จนกระทั่งเกิดเหตุการณ์แบบเดิมขึ้นอีกจึงจะออกมาส่งเสียงกันอีก วนลูปเช่นนี้ซ้ำๆ ซากๆ
“ปัญหาสำคัญ ที่ทำให้เกิดความรุนแรงในครอบครัวความรุนแรงต่อเด็กอยู่ตลอดนั้นเพราะสังคมมีการยอมรับการใช้ความรุนแรงด้วยการมองว่า เป็นเรื่องผัวเมีย, คนนอกไม่เกี่ยว, เป็นเรื่องในครอบครัว, เป็นเรื่องลิ้นกับฟัน, เดี๋ยวก็ดีกัน อย่าเข้าไปยุ่งเปลืองตัว และอีกแนวคิดมากมายในการไม่ยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือกรณีที่มีการกระทำความรุนแรงในครอบครัวเกิดขึ้น เพราะฉะนั้นทุกๆ คน คือ ส่วนหนึ่งของการบ่มเพาะเมล็ดพันธุ์แห่งความรุนแรงนี้ไปด้วยกัน
ทิชา ณ นคร
ดังนั้นต้องไม่นิ่งเฉยต่อความรุนแรง ต้องหาทางช่วยเหลือด้วยการแจ้งประสานหน่วยที่เกี่ยวข้องเข้าไปช่วยเหลือ ส่วนคนทำผิดต้องไม่ลอยนวลไม่ว่าเขาจะเป็นพ่อจริง พ่อเลี้ยง หรือใครก็ตาม กฎหมายต้องศักดิ์สิทธิ์ ผู้เสียหายต้องได้รับความยุติธรรมจากกฎหมายอย่างเสมอภาค เท่าเทียม และไม่มีเงื่อนไข” ที่ปรึกษามูลนิธิเด็กเยาวชนและครอบครัว กล่าว
ด้าน นางจินตนา จันทร์บำรุง อธิบดีกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว (สค.) กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ยอมรับว่าช่วงที่โควิด-19 ระบาด ที่สมาชิกในครอบครัวมีเวลาอยู่ด้วยกันมากขึ้น แต่ด้วยความตึงเครียดทางเศรษฐกิจ ทำให้เกิดปัญหาทะเลาะเบาะแว้ง เกิดความรุนแรงในครอบครัวตามมา แต่กลับเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมยากขึ้นด้วย
ดังนั้น สค.จึงได้ปรับปรุงกระบวนการช่วยเหลือคุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว ตาม พ.ร.บ.คุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว พ.ศ.2550 ตั้งแต่การรับแจ้งเหตุ การเข้าสู่กระบวนการทางกฎหมาย การซักซ้อมแนวทางและกำชับให้เจ้าหน้าที่ลงพื้นที่ช่วยเหลือทันทีโดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของผู้เสียหาย มีการเสริมพลัง Empowerment ฟื้นฟูสภาพจิตใจของผู้เสียหาย ประสานทีมสหวิชาชีพและภาคีเครือข่าย และส่งต่อตามสภาพความจำเป็นของปัญหา เช่น การให้บริการด้านกาย จิต สังคม กฎหมาย และการติดตามและประเมินผลต่อเนื่อง นอกจากนี้ยังมีการชดเชยเยียวยา เกิดกลไกศูนย์เรียนรู้อบรมทักษะอาชีพ มีทุนประกอบอาชีพ มีรายได้
สุเพ็ญศรี พึ่งโคกสูง
อย่างไรก็ตาม การตั้งรับช่วยทำให้แก้ปัญหาที่ปลายเหตุ ดังนั้นสิ่งสำคัญคือหากพบเห็นความรุนแรงในครอบครัวอย่านิ่งเฉย สามารถติดต่อสายด่วน 1300
ศูนย์ช่วยเหลือสังคม ตลอด 24 ชั่วโมง หรือขอรับบริการให้คำปรึกษาด้านสตรีและครอบครัวโดยผู้เชี่ยวชาญได้ที่ไลน์แอดแฟมิลี่ (@linefamily) และเว็บไซต์เพื่อนครอบครัว (www.เพื่อนครอบครัว.com)
ขณะที่ นางสาวสุเพ็ญศรี พึ่งโคกสูงผู้อำนวยการมูลนิธิส่งเสริมความเสมอภาคทางสังคม กล่าวว่า การช่วยเหลือผู้ถูกกระทำความรุนแรงที่ผ่านมา พบอุปสรรคในการให้ความช่วยเหลือเหยื่อหลายอย่าง เช่น ข้าราชการชายข่มขืนผู้หญิง อาศัยเงื่อนไขโควิดประวิงเวลา ถ่วงคดีไม่ให้ความร่วมมือกับพนักงานสอบสวน ทำให้คดีอาญา ความผิดทางวินัย เป็นไปได้ล่าช้า และอีกหลายๆ กรณีที่พบว่ากระบวนการทางกฎหมายกลับกลายเป็นอุปสรรคเสียเอง โดยเฉพาะในยุคโควิดที่เห็นชัดคือ กระบวนการทางกฎหมายล่าช้า ยุ่งยากในการเลื่อนนัดฟังคดี ทำให้ปัญหารุนแรงขึ้น บางกรณีนำมาสู่การเสียชีวิตได้
“ปัญหาที่เราเจอคือ เมื่อผู้ถูกกระทำไปแจ้งความ พนักงานสอบสวน หรือเจ้าหน้าที่รับเรื่องบางคนยังเข้าใจคลาดเคลื่อน เพราะขณะนี้มีการแก้กฎหมายแล้ว คือคดีข่มขืนทางเพศยอมความไม่ได้ สอดคล้องกับข้อมูลที่เครือข่ายผู้ก้าวข้ามความรุนแรง สะท้อนว่าตำรวจต้องมีความเข้าใจ รีบเร่งรัดดำเนินคดี มีบริการที่เป็นมิตร ไม่ตำหนิไม่ตีตรา เพื่อป้องกันสถานการณ์เลวร้ายลงจนถึงแก่ความตาย กรณีผู้เสียหายเป็นผู้พิการควรให้มีล่ามบริการ ที่สำคัญตำรวจต้องไม่เกรงใจผู้ที่มีสถานะเหนือกว่าทางสังคม
อังคณา อินทสา
ขณะเดียวกัน หน่วยงานที่เข้าไปให้ความช่วยเหลือ สอบถามสืบค้น ต้องมีทักษะช่วยเหลือได้ทันท่วงที และฝากถึงผู้ถูกกระทำความรุนแรงต้องกล้าลุกมาปกป้องสิทธิของตัว เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ลดทอนความกลัว ความอาย ผู้ที่ควรอายต้องเป็นผู้กระทำความผิด เพราะมีโทษตามกฎหมาย” น.ส.สุเพ็ญศรี ระบุ
นายณัฐวุฒิ บัวประทุม รองประธานคณะกรรมาธิการกิจการเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ ผู้พิการ กลุ่มชาติพันธุ์ กล่าวว่า มีข้อมูลทางเศรษฐกิจชัดเจนว่าความรุนแรงในครอบครัว ส่งผลกระทบต่อผลิตภัณฑ์มวลรวม (จีดีพี) ประเทศ 0.5% คิดเป็นมูลค่าความเสียหายอย่างมหาศาล ซึ่งช่วงสถานการณ์โควิด ได้รับเรื่องร้องเรียนปัญหาความรุนแรงทางเพศ ความรุนแรงในครอบครัวเพิ่มสูงขึ้น ประกอบกับกลไกการบริหารจัดการ กำลังคนเป็นไปด้วยความล่าช้าไม่ถูกคลี่คลาย จนนำไปสู่การถูกกระทำซ้ำ ซึ่งขณะนี้พบว่ามีการขอความช่วยเหลือผ่านโซเชียลมีเดียเพิ่มขึ้นอย่างน่าตกใจ เพราะคนพึ่งระบบราชการไม่ได้ หรือหน่วยงานรัฐไม่ตอบสนองให้ความช่วยเหลือที่ถูกต้องทันท่วงที ดังนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรปรับระบบเพื่อรองรับกับสถานการณ์ความรุนแรงในยุคโควิดให้มากกว่านี้
“สถานการณ์ความรุนแรงที่เพิ่มขึ้นนี้ ยังไม่นับคดีความอีกจำนวนมากที่ค้างอยู่และถูกเลื่อนออกไปให้ล่าช้าเลย เช่น คดีอาญาถูกเลื่อนออกไปไม่น้อยกว่า 6 เดือน ส่งผลต่อกระบวนการยุติธรรม กระทบต่อการบำบัดฟื้นฟูผู้เสียหาย แม้ว่าหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรมจะพยายามใช้ระบบการรับคดีและการพิจารณาคดีแบบออนไลน์ เช่น ศาลยุติธรรม แต่บางหน่วยยังขาดระเบียบรองรับ ขาดทั้งเรื่องเทคโนโลยี กำลังคน และงบประมาณ สะท้อนว่ารัฐบาลไม่ได้ใส่ใจแก้ปัญหาเหล่านี้อย่างเพียงพอในท้ายที่สุดก็จะส่งผลกระทบต่อผู้เสียหายที่ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง” นายณัฐวุฒิ กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี