เมื่อเร็วๆ นี้ สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทยจัดเสวนา (ออนไลน์) หัวข้อ “2 ปี โควิด New Normal กับสื่อสารฉากทัศน์อนาคต” ถอดบทเรียนประเด็นการสื่อสารในสถานการณ์โควิด-19 ตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา โดย ศ.นพ.ประสิทธิ์ วัฒนาภา คณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า ในขณะที่ภัยพิบัติอื่นๆ เช่น น้ำท่วม ไฟป่า เป็นสิ่งที่คาดการณ์ได้ แต่ไวรัสตัวหนึ่งนั้นเราไม่เคยรู้จักมันมาก่อน
อีกทั้งเมื่อเริ่มทำความรู้จักสักพักมันก็กลายพันธุ์ไปอีก“การสื่อสารข้อมูลต้องระบุเวลาให้ชัดเจนด้วย” เพื่อป้องกันความสับสน เช่น ในพื้นที่ออนไลน์ยังพบการแชร์ข้อมูลของไวรัสโควิด-19 ยุคที่เป็นเชื้อสายพันธุ์อู่ฮั่น ซึ่งเป็นข้อมูลของปี 2563 ส่วนปัจจุบันหรือปี 2564 ไวรัสได้กลายเป็นสายพันธุ์เดลต้าแล้ว อย่างไรก็ตาม “สถานการณ์นี้ยังมีจุดดีคือทำให้นักวิชาการทั้งสายสุขภาพและสายเศรษฐกิจได้มาทำงานร่วมกัน แม้บางครั้งจะมีความเห็นตรงข้ามกัน”
ซึ่งจะต้องย่อยข้อมูลทั้ง 2 ด้านให้ออกมาสมดุลกัน อนึ่ง “แม้ข้อมูลที่ออกมาจะสื่อสารได้ดีในระดับหนึ่ง แต่ยังไม่สื่อสารกับทุกกลุ่มของสังคม” เช่น ในสังคมมีทั้งกลุ่มที่ใช้และไม่ใช้สื่อออนไลน์ หรือสำหรับบางกลุ่ม โทรทัศน์หรือหนังสือพิมพ์ยังมีความสำคัญ เป็นต้น ทั้งนี้ การมีแหล่งข้อมูลที่แม่นยำถูกต้อง รวมถึงมีการประสานงานที่ดี การสื่อสารในระดับประเทศก็จะไม่สับสน
“บางทีนักวิชาการกันเองความเห็นแตกต่างกัน มันก็เลยทำให้เกิดมีความเห็นที่แตกต่างกัน สังคมก็เลยสับสน ถ้าเราถอดบทเรียนตรงนี้ได้ดี เกิดการแพร่ระบาดอีกทีเมื่อไรไม่รู้ ถ้าสมมุติมีการรวมศูนย์ข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูลจากฐานข้อมูลที่มีหลักฐานชัดเจนแล้วสื่อไปในทิศทางเดียวกันอย่างถูกต้อง ผมคิดว่าสังคมจะสงบมากขึ้นแล้วก็เดินไปในทิศทางเดียวกันได้ดีขึ้น” ศ.นพ.ประสิทธิ์ กล่าว
ขณะที่ เกษมสันต์ วีระกุล บรรณาธิการบริหาร เพื่อวางกลยุทธ์สื่อสาร ศบค. กล่าวถึงช่วงแรกๆ ที่มีการสื่อสารเกี่ยวกับโควิด-19 แม้จะเป็นโรคใหม่แต่พบว่าคนให้ความสนใจอย่างมาก ถึงขนาดที่การแถลงข่าวของ ศบค. ทำให้เรตติ้งของสถานีโทรทัศน์ช่อง NBT สูงมากอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน แต่เมื่อช่วงปลายเดือนก.ค.-ต้นเดือนส.ค.2564 ช่วงนั้นมีโพลล์ของสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้าโพล) พบว่า คนเชื่อ ศบค. เพียงร้อยละ 16.5
ซึ่งน้อยกว่าแพทย์แผนไทยเสียด้วยซ้ำซึ่งอยู่ที่ร้อยละ 16.9 ในขณะที่เชื่อนักวิชาการ (เช่น แพทย์หลายท่านที่ออกมาให้ความเห็น) มากที่สุด ร้อยละ 43 ตามด้วยเจ้าหน้าที่กระทรวงสาธารณสุขและสื่อมวลชน ราวร้อยละ 23 ไล่เลี่ยกันส่วนเจ้าหน้าที่รัฐได้รับความเชื่อถือเพียงร้อยละ 3.8 และนักการเมือง ร้อยละ 0.6 (นิด้าโพลหัวข้อ “ทำไม COVID-19 รอบนี้ระบาดหนัก” เผยแพร่วันที่ 22 ส.ค. 2564)
ทั้งนี้ “ในภาวะวิกฤต..สิ่งที่คนได้ยินจากภาครัฐคือสิ่งที่แต่ละคนได้ยิน ไม่ใช่ได้ยินในสิ่งที่ภาครัฐอยากสื่อสาร” เช่น เมื่อมีคำเตือนให้สวมหน้ากากปิดปาก-จมูก ล้างมือบ่อยๆ และเว้นระยะห่างทางสังคม ในช่วงแรกๆ ก็ฟังดูดี แต่เมื่อเวลาผ่านไปแล้วยังได้ฟังคำเตือนซ้ำๆ คนจะเริ่มรู้สึกว่าภาครัฐโทษประชาชน และตั้งคำถามย้อนกลับไปว่าภาครัฐบริหารจัดการได้ดีแล้วหรือ หรือกรณีรัฐมนตรีบางท่านบอกว่าจะมีวัคซีนเต็มแขน คนย่อมคาดหวังว่าวัคซีนจะมาเร็วและมาทันไม่ใช่มาช้า
“เราอ้างได้ไหมว่าไม่มีคู่มือ? อ้างไม่ได้! เพราะอย่างนิวซีแลนด์หรือไต้หวันเขาก็ไม่เคยมี อย่างไต้หวันนี่เป็นบทเรียนที่ชัดเจนมาก ตอนที่ซาร์ส (SARS) ระบาด ถ้าจำกันได้จากจีน เขาอยู่ติดกับจีน ไต้หวัน ฮ่องกง ประเทศไทยเจอระบาดเยอะ ตายเยอะ เป็นอันดับ 1 2 3 ของโลกต่อจากจีน แต่เที่ยวนี้ไต้หวันจนถึงล่าสุดตัวเลขหมื่นกว่าคน เขาประยุกต์บทเรียนที่เกิดขึ้นตอนซาร์สมาใช้กับโควิด ทั้งว่าอะไรจะเป็น Level (ระดับ) ของความซีเรียส จะปิด-ไม่ปิด
นิวซีแลนด์ก็เหมือนกัน มีเอกสารเป็นคู่มือ เขาบอกเลยว่าถ้าระบาดแค่นี้ถือเป็น Level 1 ระบาดระดับนี้ถือเป็น 2 3 4 แล้ว 1 2 3 4 ใครต้องทำอะไร ไม่ต้องรอ ศบค. ประชุมว่า อ้าว!..ตกลงลอยกระทงได้นะ ไม่ใช่! เขาบอกเลย ไต้หวันเหมือนกัน โรงเรียนถ้าติดแค่นี้ให้ทำแบบนี้ติดเท่านี้ให้ปิดโรงเรียน มีคู่มือหมด เพราะฉะนั้นในเรื่องที่บอกว่าเราไม่มีคู่มือนี่ไม่ได้” เกษมสันต์ ระบุ
อีกด้านหนึ่ง นพ.ธนาธิป ศุภประดิษฐ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ธนบุรี เฮลท์แคร์ กรุ๊ป (THG) ให้ความเห็นว่า หากเปรียบแพทย์ นักวิชาการ รัฐบาลหรือ ศบค.เป็นพ่อแม่ แล้วประชาชนเป็นลูก ในช่วงแรกๆ ของสถานการณ์โควิด-19 นั้นประชาชนยังรู้ข้อมูลข่าวสารน้อยจึงต้องฟังจากแพทย์ นักวิชาการ รัฐบาลหรือ ศบค. แต่เมื่อเวลาผ่านไป เช่น ในระลอกที่การระบาดมาจากสถานบันเทิงย่านทองหล่อ พบว่าประชาชนค้นหาข้อมูลด้วยตนเองมากขึ้น ไม่เฉพาะในเมืองไทยแต่เป็นทั่วโลก อีกทั้งพูดคุยบอกเล่ากับคนที่อยู่ต่างประเทศด้วย
“Information (ข้อมูลข่าวสาร) มันถูก Integrate (บูรณาการ) เข้ามาหลายระนาบมาก จากลูกเราที่เคยอยู่อนุบาล เขากลายเป็น Teenager (วัยรุ่น) นะ เขาบริโภคอย่างรวดเร็วแล้วก็แซงพ่อแม่ ถ้าพ่อแม่ยังทำตัวเป็นพ่อแม่อยู่ในที่สุดผมเห็นแล้ว Gap (ช่องว่าง) อย่างนี้วิ่งแซง เพราะเพื่อนๆ ผมที่ไม่ได้เป็นหมอ เวลามันถามผมว่าอันนี้จริงหรือเปล่า เขา Fully Educated (ศึกษามาอย่างเต็มที่) แต่เขาไม่ได้เป็นหมอแค่นั้นเอง ผมก็ Search (ค้นหา) เออใช่!..คุณพูดถูก มันอยู่ตรงนี้ๆ แล้วเราก็พยายามเอาวิชาการจับ ว่าของคุณอยู่ประมาณมุมนั้นมุมนี้ของกราฟ” นพ.ธนาธิป กล่าว
นพ.ธนาธิป ยังฝากข้อคิดว่า การสื่อสารที่เหมาะสมควรให้ข้อมูลที่เป็นข้อเท็จจริง (Fact) และให้เผื่อใจไว้ด้วย เช่น การเปิดประเทศหรือเปิดให้ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในร้านอาหาร คนเป็นแพทย์นั้นรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นแต่ก็เข้าใจว่าเพื่อให้เศรษฐกิจเดินต่อไปได้ ถึงกระนั้นก็ต้องเผื่อใจไว้หากมีการระบาดระลอกใหม่ ซึ่งอาจพบผู้ติดเชื้อหลักหมื่นต่อวันแต่อัตราการตายยังไม่สูง อยู่เพียงหลักร้อยต้นๆต่อวัน อยู่จุดไหนยังพอยอมรับได้ และจุดนั้นไม่ใช่เป็นคำสั่งแบบคุณพ่อรู้ดีแต่เป็นความเห็นร่วมกันในสังคม (Consensus-ฉันทามติ) เรื่องนี้ต้องพูดคุยกัน
ปิดท้ายด้วย นิมิตร์ เทียนอุดม คณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ และผู้อำนวยการมูลนิธิเข้าถึงเอดส์ ยกตัวอย่างการระบาดของโรคเอดส์ ในช่วงแรกๆ คนกลัวกันมากเพราะไม่รู้ว่าเชื้อ HIV ที่ก่อโรคนั้นติดต่อกันได้อย่างไร แม้แต่แพทย์-พยาบาลก็ไม่กล้ารักษาเพราะกลัวติดโรค แต่เมื่อข้อมูลเริ่มชัดขึ้นว่าเชื้อ HIV ติดต่อได้ทางไหนบ้าง คนก็เข้าใจและประเมินตนเองได้มากขึ้นว่าควร-ไม่ควรทำอะไร ซึ่งสถานการณ์โควิด-19 นั้นก็ไม่ต่างกัน
กล่าวคือ “เมื่อไม่สื่อสารให้ชัดว่าโควิดติดได้ทางไหนบ้าง ทำให้สังคมเกิดความกลัวไปหมดจนไม่กล้ามีปฏิสัมพันธ์กัน” เช่น คนหนุ่ม-สาวเห็นคนแก่ล้มแต่ไม่กล้า
เข้าไปช่วยเพราะกลัวติดโควิด แต่เมื่อมีข้อมูลที่ชัดเจนและย่อยข้อมูลให้เข้าใจง่าย เช่น เชื้อโควิดอยู่ในสารคัดหลั่งจำพวกน้ำมูก-น้ำลาย และออกมาทางจมูก-ปาก ดังนั้นหากสวมหน้ากากปิดปาก-จมูกไว้ก็จะเพิ่มความปลอดภัยมากขึ้นไม่ว่าจะเป็นโควิดสายพันธุ์ใดก็ตาม เมื่อชุมชนเข้าใจจุดนี้การอยู่ร่วมกันได้ก็กลับมา
“เราต้องอาศัยบทเรียน เราจะสื่ออะไร Message (ข้อความ) สำคัญ เราจะมานั่งนับตัวเลขของคนที่ติดเชื้อจำนวนวันอย่างมากมายเพื่อเน้นไปสร้างความกลัว แล้วเราก็สื่อสารแบบนั้นเป็นหลักทุกวันๆ จากการแถลงข่าวของ ศบค. หรือเราจะสื่อสารว่าเน้นทำให้ประชาชนมีความสามารถมากขึ้นที่จะกลั่นกรองข้อมูล แล้วก็ประเมินความเสี่ยงของตัวเองได้ ถ้าเขารู้ว่ามันติดทางไหน มันออก-มันเข้าทางไหน ต้องจับหลักก่อนว่าอยากจะสื่ออะไร”นิมิตร์ กล่าว
นิมิตร์ กล่าวย้ำว่า การให้ข้อมูลที่เป็นจริง ทำให้ข้อมูลชัดเจนเข้าใจง่าย และถ่ายทอดความรู้กับผู้นำชุมชน เป็นกลไกสำคัญในการรับมือสถานการณ์โควิด-19 เช่น
ในชุมชนแออัด เมื่อผู้นำชุมชน หรือ อสม. เข้าใจก็สามารถออกช่วยเหลือคนในชุมชน รวมถึงเกิดสถานที่ดูแลผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในชุมชน (Community Isolation) หรือคนในชุมชนสามารถอยู่ร่วมกันได้แม้บ้านติดกัน!!!
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี