สกู๊ปพิเศษ : วช.ถอดรหัสการจัดสรรงบวิจัยเร่งด่วน  กับเบื้องหลังทัพหน้า‘วิจัยคุมโควิด’

สกู๊ปพิเศษ : วช.ถอดรหัสการจัดสรรงบวิจัยเร่งด่วน กับเบื้องหลังทัพหน้า‘วิจัยคุมโควิด’

วันอาทิตย์ ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2564, 06.00 น.

สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ภายใต้ กระทรวงการอุดมศึกษาวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ร่วมกับหน่วยงานเครือข่ายระบบวิจัยทั่วประเทศ จัดงาน มหกรรมงานวิจัยแห่งชาติ 2564 (Thailand Research Expo 2021) ที่ห้องเวิลด์บอลรูมชั้น 23โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ และบางกอกคอนเวนชั่นเซ็นเตอร์ เซ็นทรัลเวิลด์ กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2564 ที่ผ่านมา

งานในภาคเช้าได้มีการจัดเวทีเสวนา เรื่องการถอดรหัสการจัดสรรงบวิจัยเร่งด่วนกับเบื้องหลังทัพหน้า “วิจัยคุมโควิด”ฉายภาพรวมการแก้ไขปัญหาของประเทศในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 เป็นเวลากว่า 2 ปี ประเทศไทยสามารถรับมือทั้งที่สำเร็จและที่ยากลำบาก ซึ่งผ่านมาได้อย่างดีสิ่งที่อยู่เบื้องหลังนี้คือ การวิจัยวิทยาศาสตร์และนวัตกรรม


ศ.กิตติคุณ นพ.สุทธิพร จิตต์มิตรภาพ ประธานกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (กสว.) กล่าวว่า สถานการณ์โควิดทำให้เห็นว่า มีความจำเป็นที่จะต้องจัดรูปแบบการบริหารจัดการงานวิจัยใหม่ โดยใช้สถานการณ์ที่มีอยู่และโจทย์จากสิ่งที่เกิดขึ้นจริง มีเป้าหมายเดียวกันร่วมมือกันและส่งต่อผู้ใช้งานจริง พร้อมรับฟังโจทย์ของผู้ใช้เพื่อให้การแก้ปัญหาของประเทศได้จริง นอกจากนี้ไทยถือว่า ก้าวมาถูกทางแล้วที่รวบรวมงบประมาณวิจัยมาอยู่ในกองทุนส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมที่ใช้ในการวิจัยเพื่อแก้ปัญหาประเทศ ทำให้สามารถตัดสินใจจัดสรรงบประมาณวิจัยในสถานการณ์ฉุกเฉินได้

ทั้งนี้ โควิด-19 เป็นโรคใหม่ จึงต้องเรียนรู้จากโรค และต้องรวบรวมสรรพกำลังเพื่อต่อสู้กับโรค โดยในการวิจัยจะต้องมี 1.ต้องมีเป้าหมายที่ตรงกัน หน่วยงานวิจัยต่างๆ ของประเทศที่มีอยู่ ต้องมีเป้าหมายเดียวกัน ไม่ใช่ต่างคนต่างทำเหมือนที่เคยเกิดขึ้นในการระบาดของไข้หวัดนกในอดีต มีการจัดลำดับเป็นระยะสั้น ระยะกลาง ระยะยาว ในการพัฒนาอุปกรณ์ เครื่องเวชภัณฑ์ต่างๆ

2.มีผู้คุมนโยบาย ได้แก่ สภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม(สอวช.) ที่ต้องมีนโยบายที่ชัดเจน แบ่งงาน กระจายงาน เพื่อทำให้เกิดความเข้าใจ เกิดการร่วมมือกัน

3.การจัดสรรงบประมาณ เป็นหน้าที่ของสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) เป็นงบวิจัยเร่งด่วนที่สามารถทำได้ง่ายขึ้น ผลดีจากการปฏิรูปงบประมาณวิจัยเมื่อ 2 ปี ที่มีวช.ดูแลงบวิจัยด้านวิทยาศาสตร์ของประเทศ

“กระทรวงฯต้องมีการพัฒนาผลผลิตแบบใหม่ ที่เกิดจากผลงานวิจัยเพื่อรับใช้สังคมและปัญหาของประเทศ ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นและต้องทำ รวมทั้งต้องมีการเขียนเป็นหลักวิชาการด้วย ผมเห็นและเสียดายว่าในช่วง 2 ปี มีการวิจัยในเรื่องโควิดจำนวนมากและมีการตีพิมพ์ เราต้องถือโอกาสตรงนี้ และถ้าใครที่รับทุนวิจัยแล้วส่งแต่ละงานวิจัยอย่างเดียวไม่ได้ต้องมีการรายงานผลต่อเนื่องไปอีกเป็นเวลา 5 ปี ว่าสามารถทำอะไรได้บ้าง” ศ.กิตติคุณ นพ.สุทธิพร กล่าว

ดร.วิภารัตน์ ดีอ่อง ผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) กล่าวว่า วช.เป็นส่วนหนึ่งของการทำงานในชุดบริหารจัดการช่วยคลี่คลายสถานการณ์โควิด ในช่วงปี 2563 ศาสตราจารย์ นพ.สิริฤกษ์ ทรงศิวิไล เลขาธิการ วช. ในขณะนั้น ได้ปรับแผนงบประมาณเพื่อรองรับการบริหารจัดการเรื่องโควิด-19 ที่ใช้วิจัยและนวัตกรรมมาทำงานร่วมกับด่านหน้า ต่อมาช่วงปลายปี 2563 สถานการณ์คลี่คลายระยะหนึ่ง ได้มีความพยายามที่จะช่วยคลี่คลายทางด้านเศรษฐกิจสังคม และเริ่มมีเวชภัณฑ์อุปกรณ์ที่ส่งเสริมการพัฒนาออกมาและ วช.ได้รับโอกาสมีส่วนร่วมทำงานกับทาง ศบค. ปี 2564 เห็นภาพการระบาดเป็นภาพใหญ่ วช.ได้ส่งมอบผลงานอุปกรณ์การแพทย์แก่ทางด่านหน้า มีผลงานจากการวิจัยเกิดขึ้น และมีการกำหนดแผนสนับสนุนการวิจัยเรื่องโควิดเป็นระยะสั้น ระยะกลาง ระยะยาว มองภาพการต่อยอดขยายผลในมิติสาธารณสุข

โดยประเด็นที่ให้ความสำคัญมีเรื่องการกลายพันธุ์ไวรัส การสนับสนุนเรื่องวัคซีน ก่อนขยายประเด็นมากขึ้นเป็นการรับมืออย่างเป็นระบบ โดยใช้งานวิจัยสนับสนุนรวมถึงประเด็นด้านสังคมและเศรษฐกิจมุ่งตอบสนองต่อการใช้งานเพื่อแก้ไขปัญหาเร่งด่วน ในระยะยาวมีเรื่องของการพัฒนายา วัคซีนชนิดอื่นๆ

สำหรับงบประมาณที่ใช้ในการวิจัยปี 2563 มีการใช้ไปมากกว่า 800 ล้านบาท วช.มีสัดส่วนอยู่ 20% ส่วนในปี 2564 ใช้งบประมาณ 1,200 ล้านบาท เป็นส่วนของ วช.ประมาณ 24% มีการวิจัย 2 ปี รวม 402 โครงการ โดยในปี 2564 มีการวิจัยเกิดขึ้นเพิ่มมาประมาณ 300 โครงการ วช.ได้รับมอบหมายงานในระดับแผนของประเทศมาสู่หน่วยงานบริหารทุนวิจัยและนวัตกรรม

จากที่ได้ร่วมเสวนากัน สิ่งที่เห็นและเป็นสิ่งสำคัญคือ เดิมอาจมีความคุ้นเคยการทำงานที่เป็นช่วงเวลา ในการขอรับการสนับสนุนในเชิงทุน แต่ในบางกลไกมีการขยับขึ้นไปให้สูงขึ้นมีการตั้งโจทย์Demand Side สนับสนุนแผนงานรวดเร็วขึ้นและไม่ให้ติดขัดในแผนงานเวลาอีกต่อไป หลายโครงการ ไม่ว่าจะเป็น กรมการแพทย์ กรมควบคุมโรค หรือ ศิริราช ซึ่งหลายโครงการไม่ได้มีการพูดถึงในเชิงแผนงานแต่จะพูดถึงการบริหารประเด็นเชิงเร่งด่วนวช.พยายามตอบรับในการทำงานให้เกิดขึ้นรวดเร็ว

นพ.ทวีทรัพย์ ศิรประภาศิริ นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ กรมควบคุมโรคกล่าวว่า เรื่องโควิด-19 เป็นการเรียนรู้จากการทำงานที่เราได้ใช้เรียนรู้ร่วมกันมาในเรื่องการวิจัยมาสู่การปฏิบัติ คงอยู่ที่รหัสที่สำคัญ คือ “การมีเป้าหมายร่วม” ถ้าทุกคนมีเป้าหมายร่วมไปสู่ที่เดียวกันและนำมาด้วยการปรับแนวคิดที่เราทำงานในยุคใหม่ ไม่มีตัวตน หรือ นิวแพลตฟอร์มที่เกิดขึ้นจากการลงมือทำ ไม่ได้อยู่ในกระดาษอย่างเดียว ถ้าเราร่วมทำงานแบบนี้ประสบการณ์ โควิด จะทำให้เราได้ก้าวไปสู่ สมาร์ทลีฟวิ่ง หรือการร่วมกันแบบอัจฉริยะแบบโลกยุคใหม่ ไม่ว่าจะเจอสถานการณ์แบบไหน ไม่ว่าจะเป็นแพลตฟอร์มใหม่ๆ หรือ ยาใหม่ๆเราทำงานด้วยเป้าหมายร่วมและมีความสุขร่วมกัน

ข้อจำกัดคนที่นำผลงานวิจัยไปแชร์เพื่อทำงานในส่วนปฏิบัติการ เราทำข้อเสนอไปสู่นโยบายมักจะเขียนผลงานวิจัยน้อยกว่า 20 เรื่อง ถ้าเป็นภาพในหน่วยงานเอง แต่ถ้าทำร่วมกับหน่วยงานอื่นก็มี ซึ่งการใช้งานอาจจะยังไม่ไปสู่สาธารณะเท่าไหร่ แต่มันจะเป็นเรื่องของการเสนอเชิงนโยบายไปสู่ภาคปฏิบัติ ในช่วงโควิดที่ผ่านมา มีการเปลี่ยนแปลงมากโดยเฉพาะในเรื่องการนำเสนอเชิงนโยบายไปสู่ภาคปฏิบัติ รวดเร็ว

นพ.อรรถสิทธิ์ ศรีสุบัติ ที่ปรึกษากรมการแพทย์ กล่าวว่า งานวิจัยมันอยู่กับเราตลอด ไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น หรือเปลี่ยนแปลงเป็นส่วนที่ช่วยให้เราตัดสินใจไปทางที่ถูกและอยู่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ครั้งที่มีการระบาดทำให้เห็นถึงความร่วมมือ และเห็นระบบที่มีการเปลี่ยนแปลงไป ถ้าระบบสนับสนุนงานวิจัยดี นักวิจัยอยากทำ และมีการตอบสนอง ผลงานวิจัยมันจะไปเร็ว ในอดีตการทำวิจัยเราต้องของบประมาณล่วงหน้าถึง 2 ปี ซึ่งล่าช้าและทำให้นักวิจัยไม่อยากทำ พอตอนนี้มีปัญหาที่ใหญ่ และนักวิจัยอยากทำ มีการตอบสนองเรื่องงบประมาณ การเก็บข้อมูลต่างๆ ทุกอย่างมันจะเร็วหมด ส่วนที่มีการพูดถึงเรื่องข้อมูลวิชาการที่จะเผยแพร่สู่ประชาชน อยากให้ช่วยมีการปรับภาษาจากวิชาการเป็นภาษาที่เข้าใจง่าย เรารับหมดทุกโครงการที่เป็นงานวิชาการเกี่ยวข้อง อีกทั้งกรมการแพทย์ยังมีข้อมูลวิจัยที่จะกลั่นกรองสกัดออกมาให้อยู่ในพื้นฐานข้อมูลที่ถูกต้อง ซึ่งต้องดูเรื่องการประเมินว่าข้อมูลที่ได้มาดีมากน้อยแค่ไหน

ศ.นพ.ประเสริฐ เอื้อวรากุล รองคณบดีฝ่ายวิจัย คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า เราทำวิจัยในประเทศไทย ควรทำอะไร การแก้ปัญหาโควิด ในเชิงวิทยาศาสตร์เป็นปัญหาของโลก เราจะไปทำแข่งขันการแก้ปัญหาของโลกมันไม่ทัน ไม่มีศักยภาพ และก็ไม่ควร แต่ควรมองเรื่องที่เราต้องทำโลคอล คอนเทนต์ ซึ่งเป็นโจทย์ที่ต้องทำ มีอยู่ 2 ประเด็น คือ 1.ตรงไปตรงมา และเรื่องระบาดวิทยาต้องเป็นของใครของมัน บ้านใครบ้านมัน ใครระบาดอย่างไร เชื้อเป็นอย่างไร 2.ข้อจำกัดของประเทศ โดยเฉพาะเรื่องทรัพยากรว่าเรามียา มีวัคซีนแค่ไหน

“เรื่องการนำผลวิจัยไปใช้งาน ก็มีบางเรื่องที่เราทำกันแล้วยังไม่มีข้อมูลเป็นผลสรุป ถ้ามีการตีพิมพ์แล้วนำไปใช้ก็ทำให้เรามีความมั่นใจมากขึ้น แต่มีหลายเรื่องที่ยังคาใจ ที่บอกว่าอัตราการตายต่ำ หมอหลายคนบอกว่าเป็นเพราะเราใช้ยาฟาวิพิราเวียร์หรือไม่ หรือวัคซีน ยังไม่มีข้อสรุปออกมาชัดเจนหรือเป็นระบบทำให้เกิดความสับสนและงงๆ แต่ถ้ามีการมานั่งคุยกันจากหลายฝ่ายถ้ามีการสร้างแพลตฟอร์มรองรับ ถ้าทุกคนช่วยกันดูและแชร์ความคิดร่วมกันจะเป็นผลที่ดีมาก ยังมีหลายคำตอบที่ต้องทำให้ชัดเจนว่าการลงตามวิจัยที่มีการตีพิมพ์แล้วมันชัดเจนจริงหรือไม่ ซึ่งโจทย์ของเราต้องพัฒนาให้เป็นที่ยอมรับนานาชาติต่อไป” นพ.ประเสริฐ กล่าว

ในวงเสวนาครั้งนี้ มีผู้ทรงคุณวุฒิ และนักวิชาการวิจัยด้านนี้เข้าฟังจำนวนมาก โดยผู้ทรงคุณวุฒิ วช.ได้กล่าวบนเวทีเสวนาว่า เราโชคดีที่มีทัพหน้าและทัพหลังในการที่จะหลุดพ้นแต่ก็ยังมีบทเรียนและการเรียนรู้ต่างๆ ที่ไม่ทราบว่าจะสามารถการันตีได้หรือไม่ และดีใจว่าเรื่องข้อมูลวิจัยนั้นมีความสำคัญมากในระบบเศรษฐกิจระบบสังคมของประเทศ

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top