จนถึงวันนี้ “แนวหน้า” ยังคงเกาะติดการแก้ไขปัญหายาเสพติด ผู้ติดยาเสพติดในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง ซึ่งต้องยอมรับว่ามีปัญหามาก ขณะที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพยายามแก้ไขปัญหามาอย่างต่อเนื่อง มีการปรับรูปแบบกระบวนการการดูแล “เปลี่ยนผู้เสพเป็นผู้ป่วย” ผ่านกระบวนการ “ชุมชนล้อมรักษ์ หรือ CBTx” และจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องมีการถอดบทเรียนในพื้นที่ต่างๆ เพื่อนำจุดเด่น จุดด้อยมาสู่การปรับปรุง ปรับกระบวนการให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
ล่าสุด เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2568 ที่ผ่านมา สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับภาคีเครือข่ายจัดประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อพัฒนาศักยภาพพลังอำเภอสู่การเป็นอำเภอต้นแบบและอำเภอขยายผลในการขับเคลื่อนชุมชนล้อมรักษ์ และแก้ไขปัญหายาเสพติดอย่างยั่งยืน เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้และสร้างทีมให้กลไกระดับอำเภอสามารถแก้ไขปัญหายาเสพติดโดยชุมชนอย่างเข้มแข็งและยั่งยืน
โดย นายแพทย์สุรเชษฐ์ สถิตนิรามัย รองประธานกรรมการ สสส. คนที่ 2 และประธานกรรมการบริหารแผน คณะที่ 1 เปิดเผยสถานการณ์ยาเสพติดของประเทศไทยว่ามีแนวโน้มทวีความรุนแรงขึ้นทุกวันจากปัจจัยทางสังคม เศรษฐกิจ ที่ทำให้ประชาชนเผชิญกับปัญหาสุขภาพจิตที่จะนำไปสู่ปัญหาการใช้สารเสพติด ซึ่งนายแพทย์สุรเชษฐ์ชี้ว่า ปัจจุบันมีผู้ใช้ยาเสพติดทั่วประเทศ 4-6 ล้านคน
ความรุนแรงของปัญหายาเสพติดที่มากขึ้นนี้ มาจากปัญหาสังคมที่มีมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นความเหลื่อมล้ำทางสังคม ความทุกข์ยาก รายได้ทางเศรษฐกิจ การงานและอาชีพ หากมีปัญหามากขึ้นก็จะมีปัญหายาเสพติดเพิ่มมากขึ้น ซึ่งก็ไม่ใช่เฉพาะประเทศไทยที่มีปัญหาสังคมเหล่านี้ เพียงแต่ไทยมีเรื่องของกฎหมายที่อ่อนแอไปเพิ่มความรุนแรงของสถานการณ์ยาเสพติดในประเทศด้วย”
“ทั้งการใช้ยาเสพติดแบบซอฟต์ดรัก (Soft Drug) คือการใช้ยาเสพติดที่มีฤทธิ์เสพติดไม่รุนแรง เช่น กัญชา และแบบฮาร์ดดรัก (Hard Drug) ที่ออกฤทธิ์รุนแรง อย่างเฮโรอีน ยาอี ขณะเดียวกัน การใช้ยาเสพติดก็มีวิวัฒนาการจากเดิมที่ใช้ยาเพียงตัวเดียวกลายเป็นใช้ยาเสพติดหลายตัว ซึ่งแน่นอนว่า จะทำให้ยาเสพติดออกฤทธิ์กับตัวผู้เสพรุนแรงขึ้น”
นายแพทย์สุรเชษฐ์ ย้ำว่า หัวใจที่สำคัญในการแก้ปัญหายาเสพติดให้บรรเทาลงคือ “การสร้างชุมชนเข้มแข็ง” ภายใต้โครงการ “ชุมชนล้อมรักษ์” โดยคณะกรรมการพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับอำเภอ (พชอ.) ที่ไม่ได้มีหน้าที่ให้ชุมชนเป็นเสมือนโรงพยาบาลในการบำบัดรักษาผู้ใช้ยาเสพติด แต่สร้างศักยภาพให้ชุมชนมีระบบคัดกรองผู้มีความเสี่ยง รวมไปถึงการติดตามดูแลผู้ป่วยที่เข้ารับการบำบัดแล้ว
ทั้งนี้ ในที่ประชุม คณะทำงานพื้นที่อำเภอวังเหนือ จังหวัดลำปาง ซึ่งเป็นหนึ่งในพื้นที่ที่เข้าร่วมโครงการชุมชนล้อมรักษ์ ตั้งแต่ปี 2567 อธิบายว่า หน่วยงานราชการในชุมชนได้จัดทำข้อมูลพื้นที่นำร่องทำโครงการจากพื้นที่เสี่ยงพบผู้ใช้ยาเสพติดใน 2 หมู่บ้าน จากนั้นจะเข้าสู่กระบวนการคัดกรองในพื้นที่นำร่องที่เลือกไว้เพื่อหาผู้ใช้ยาเสพติดด้วยการตรวจปัสสาวะทุกคนในหมู่บ้าน รวมทั้งการให้คนในชุมชนสอดส่องดูพื้นที่เสี่ยงและแจ้งเจ้าหน้าที่เพื่อทำงานเชิงรุกเข้าไปคัดกรองถึงที่บ้าน
หลังจากนั้น หน่วยงานท้องถิ่นเช่น ที่ว่าการอำเภอ สาธารณสุขชุมชน ตำรวจ และภาคีเครือข่ายจะร่วมกันทำข้อตกลง (MOU) เพื่อสนับสนุนการทำงานร่วมกันภายใต้โครงการชุมชนล้อมรักษ์ รวมทั้งออกแบบในการบำบัดผู้ใช้ยาเสพติด จากนั้นจึงนำผู้ใช้ยาเสพติดเข้าสู่ขั้นตอนการบำบัดภายใต้กรอบเวลา 16 สัปดาห์ โดยผู้เข้าร่วมบำบัดจะต้องเข้าร่วมกิจกรรมบำบัดอย่างน้อย 13 ครั้ง และในทุกครั้งจะมีการตรวจปัสสาวะเพื่อตรวจหาสารเสพติด
ด้าน นายทศพล จำบุญมา นายอำเภอวังเหนือ ระบุว่า นอกจากจะดูแลในระหว่างการบำบัดแล้ว ภายใต้โครงการชุมชนล้อมรักษ์ ชุมชนยังต้องดูแลสภาพแวดล้อมของชุมชนให้โอบรับผู้ผ่านการบำบัดกลับสู่สังคมด้วยการสร้างความเข้าใจให้กับคนในชุมชนเพื่อปรับเปลี่ยนไม่ให้มีมุมมองแง่ลบต่อผู้ที่ผ่านการบำบัดแล้ว ที่สำคัญคือการส่งเสริมให้ผู้ที่เข้ารับการบำบัดที่ไม่มีรายได้ สร้างรายได้ผ่านการพัฒนาทักษะด้านต่างๆ เพื่อการประกอบอาชีพ เช่น การเกษตร และการประมง ด้วยการเชิญผู้มีความเชี่ยวชาญด้านนั้นๆ มาให้ความรู้ โดยทั้งหมดนี้ ดำเนินงานผ่าน 5 ส่วน ตั้งแต่ ครอบครัว ผู้นำชุมชน เครือข่ายโรงพยาบาลสุขภาพตำบล (รพ.สต.) ศาสนสถาน และฝ่ายปกครอง เรียกโดยรวมว่า หลักการ 5 เสือ ที่ผู้ใช้สารเสพติด 1 คนจะได้รับการดูแลจากคนใน 5 ส่วนนี้
“การคัดกรองพบผู้ใช้สารเสพติดในพื้นที่ 2 หมู่บ้านนำร่องในจังหวัดลำปาง 28 คน ซึ่งผ่านการบำบัดและตรวจไม่พบสารเสพติดแล้วในปัจจุบัน” นายอำเภอวังเหนือ ระบุ
ขณะที่ นายพิทยา จินาวัฒน์ ที่ปรึกษาประจำคณะกรรมการสิทธิมนุษยชน และรองประธานกรรมการบริหารแผนคณะที่ 1 กล่าวถึงการสนับสนุนโครงการชุมชนล้อมรักษ์ว่า ส่วนหนึ่งได้รับการสนับสนุนโดย สำนักงานกองทุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ที่เข้ามาเป็นเหมือน “น้ำมันหล่อลื่น” ของโครงการ เพื่อให้ชุมชนมีระบบดูแลผู้ใช้ยาเสพติด ด้วยการทำงานกับหลายหน่วยงาน ทั้งกระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข ฯลฯ และพยายามใช้ทรัพยากรของชุมชนในการดูแลกลุ่มเป้าหมายคือผู้ที่ใช้สารเสพติด
“สสส. ร่วมสนับสนุนและหนุนเสริมคณะกรรมการพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับอำเภอ ด้วยความรู้ เครื่องมือ และนวัตกรรม เพื่อให้สามารถทำหน้าที่ได้อย่างเข้มแข็ง” นายพิทยา กล่าว
เวทีเดียวกันนี้ นายแพทย์หม่อมหลวงสมชาย จักรพันธ์ ประธานคณะที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ยังได้ชี้ว่า ผู้ใช้สายเสพติดบางรายมีการใช้ยาเสพติดหลายตัวพร้อมกัน หรือที่เรียกว่า “ปัญหาใช้ยาเสพติดซ้ำซ้อน” จึงต้องดูแลเป็นรายกรณี เพื่อให้การบำบัดมีประสิทธิภาพสูงสุด สำเร็จและคืนคนเหล่านี้ให้เขากลับมาอยู่ในชุมชนของเขาเอง เนื่องจากมีค่าใช้จ่ายที่น้อยกว่าการพาไปรักษากับสถาบันเฉพาะ สิ่งที่ชุมชนต้องเตรียมตัวคือการคิดว่าจะทำอย่างไรให้เขาอยู่กับเราได้โดยไม่รู้สึกแปลกแยก ไม่มองว่าตัวเองเป็นไอ้ขี้ยา เป็นที่รังเกียจของชุมชน ถ้าสังคมต้อนรับเขา เขาก็จะมองว่าตัวเองเป็นส่วนหนึ่ง แล้วจะกลับมาเป็นสมาชิกที่ดีของสังคมและชุมชนต่อไป
“ดังนั้น ชุมชนจึงเป็นกลไกที่ขาดไม่ได้เลยสำหรับการช่วยเหลือผู้ใช้ยาเสพติด ถ้าแม้คำว่าชุมชนดูเป็นสิ่งที่จับต้องไม่ได้แต่กลับสำคัญมาก พวกเขาต้องเกิดความรู้สึกอยากจะช่วยเหลือ รู้สึกยอมรับกันในฐานะของญาติพี่น้องหรือลูกหลานด้วยการเอาใจใส่ ดูแล ถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน เราต้องคิดเสมอว่า คนที่เสพยาคนนั้นก็คือลูกหลานของเราเอง เมื่อทำผิดพลาดก็ต้องช่วยกันดูแลในชุมชนของเราเอง” ประธานคณะที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าว
การแก้ปัญหายาเสพติดต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่อง และไม่ผ่อนการทำงานลง เพราะปัญหายืดเยื้อสะสมในประเทศไทยมาเป็นเวลานาน ปัจจุบัน ก็ยังไม่ทุเลาลง ซึ่งสิ่งที่จะทำให้ผ่อนหนักเป็นเบา จนทำไปสู่การแก้ปัญหาได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด คือทุกฝ่ายต้องผสานกำลังกัน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี