ปี 2565 เชื่อได้ว่าเป็นอีกปีที่ต้องจับตามอง จากอุณหภูมิการเมืองโลกที่ร้อนระอุ ซึ่งนอกจากสงครามรัสเซีย-ยูเครนแล้ว การแข่งขันระหว่างมหาอำนาจเบอร์ 1 อย่างสหรัฐอเมริกา กับเบอร์ 2 อย่างจีน เชื่อได้ว่าน่าจะตึงเครียดไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน ซึ่งเมื่อช่วงต้นสัปดาห์นี้ สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย จัดเสวนา “สัมพันธ์จีน-สหรัฐ : ผลกระทบต่อไทยและอาเซียน” ที่ รร.วีโฮเทล บีทีเอสราชเทวี กรุงเทพฯ
ผศ.ดร.ประพีร์ อภิชาติสกล อุปนายกสมาคมอเมริกาศึกษาในประเทศไทย และอาจารย์ภาควิชารัฐศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ กล่าวถึงนโยบาย 4 ด้าน ของสหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดี โจ ไบเดน ที่ต้องจับตามอง ประกอบด้วย 1.ความมั่นคง สหรัฐฯสร้างเครือข่ายพันธมิตรไว้หลายกลุ่ม เช่น “Five Eyes” หมายถึงสหรัฐฯ อังกฤษ ออสเตรเลีย แคนาดา และนิวซีแลนด์“The Quad” หมายถึงสหรัฐฯ อินเดีย ออสเตรเลียและญี่ปุ่น รวมถึง “AUKUS” หมายถึงสหรัฐฯ อังกฤษและออสเตรเลีย หากวันหนึ่งสหรัฐฯ และพร้อมเรียกร้องให้พันธมิตรเหล่านี้ร่วมมือกับสหรัฐฯ หากวันหนึ่งเกิดข้อพิพาทกับจีน
2.สิทธิมนุษยชน ในขณะที่ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนก่อนหน้านี้ไม่ค่อยให้น้ำหนักกับประเด็นสิทธิมนุษยชนเท่าใดนัก แต่ โจ ไบเดน ปธน. คนปัจจุบัน มีจุดยืนต้องการฟื้นฟูคุณค่าเรื่องนี้ขึ้นมา และอาจกลายเป็นเครื่องมือที่ถูกใช้เพื่อกดดันจีนได้อีกทางหนึ่ง เช่น ประเด็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนชาวอุยกูร์ที่นับถือศาสนาอิสลาม ในพื้นที่เขตปกครองตนเองซินเจียง หรือการปราบปรามผู้ประท้วงบนเกาะฮ่องกง
3.การค้า ทรัพย์สินทางปัญญา การสนับสนุนธุรกิจเอกชนโดยรัฐบาล การทุ่มตลาด เหล่านี้คาดว่าน่าจะเป็นเรื่องที่สหรัฐฯ หยิบยกมาใช้จัดการกับจีนเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของสหรัฐฯ และ 4.เทคโนโลยี ซึ่งเรื่องนี้สหรัฐฯ กังวลกับการพัฒนาอย่างก้าวกระโดดของจีนมาก ถึงขั้นที่ในปี 2564 ได้ออกกฎหมายชื่อ Endless Frontier Act ซึ่งจะเปิดช่องทางให้รัฐบาลสามารถใช้จ่ายงบประมาณสนับสนุนทั้งภาคธุรกิจเอกชนและภาคสถาบันการศึกษา ในการวิจัยและพัฒนาโดยเฉพาะด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) คอมพิวเตอร์ที่มีสมรรถนะสูงหรือกระบวนการผลิตต่างๆ
“ประเด็นที่ไบเดนให้ความสนใจ คิดว่าอันหนึ่งที่ไบเดนจะทำคือการรื้อฟื้น ซึ่งในสมัย โดนัลด์ ทรัมป์ อาจจะเป็นลักษณะ Isolate (แยกตัว) ออกไป ไม่ได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับกิจการของโลกสักเท่าไร แต่ถ้าเกิดเป็นสมัยไบเดน เขาจะรื้อฟื้นบทบาทของสหรัฐอเมริกา ในเรื่องของการต่างประเทศให้มากขึ้น แล้วสิ่งที่เขาจะ Focus (เน้น) กับจีน มันก็อาจมีการเผชิญหน้ากันในประเด็นต่างๆ มากยิ่งขึ้น” ผศ.ดร.ประพีร์ กล่าว
ขณะที่ ผศ.ดร.หลี่ เหรินเหลียง (Li Ren Liang) อาจารย์คณะพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อม สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) ยกสำนวน “ซ่อนคมในฝัก” หมายถึงผู้ที่จะไม่เคลื่อนไหวกระทำการใดๆ หากยังไม่ถึงเวลาที่เหมาะสม มาใช้อธิบายความเปลี่ยนแปลงด้านนโยบายต่างประเทศของจีน กล่าวคือ ในช่วงแรกๆ ของการเปิดประเทศ จีนวางท่าทีอดทนอดกลั้น
แต่ในระยะหลังๆ เมื่อจีนเติบโตขึ้น ประกอบกับชาติอื่นๆ ก็คาดหวังให้จีนในฐานะที่เป็นประเทศใหญ่มีความรับผิดชอบต่อโลกมากขึ้น ท่าทีของจีนจึงเปลี่ยนไปในทางดังกล่าวดังที่ สี จิ้นผิง ประธานาธิบดีคนปัจจุบันของจีน กล่าวถึงถ้อยคำ “สร้างประชาคมร่วมอนาคตของมวลมนุษยชาติ” ซึ่งสามารถแปลได้ว่า “ร่วมชะตากรรม” หากนำไปเขียนด้วยภาษาจีนอันเป็นที่รู้กันว่าปัจจุบันโลกแคบลงจากโลกาภิวัตน์ นอกจากนี้ยังมีประเด็นสิ่งแวดล้อม การเปลี่ยนแปลงทางภูมิอากาศ ซึ่งจีนรับรู้และนานาชาติก็คาดหวังให้จีนมีส่วนร่วม
ผศ.ดร.หลี่ ยังกล่าวถึงข้อสงสัยต่อท่าทีของจีนในสงครามรัสเซีย-ยูเครน ว่า ชาวจีนมีคำคำหนึ่งที่ใช้กันบ่อยคือ “กวนซี” หมายถึง “ความสัมพันธ์” ชาวจีนไปไหนมาไหนก็ต้องการมีเพื่อนฝูงรู้จักคนนั้นคนนี้ เพราะการมีเพื่อนหมายถึงโอกาสในการเปิดหนทางใหม่ๆ (เช่น การค้าขาย) ซึ่งจีนไม่ใช่ศัตรูกับทั้งรัสเซียและยูเครน แต่ต้องการเป็นมิตรกับทุกฝ่าย จีนในฐานะประเทศใหญ่ซึ่งต้องมีความรับผิดชอบ จึงแสดงบทบาทเพียงเท่าที่ควร
“มีการพูดคุยทางโทรศัพท์ มีการประชุมออนไลน์กับประธานาธิบดีของทางฝรั่งเศส กับนายกรัฐมนตรีของเยอรมนี ซึ่งค่อนข้างประสบความสำเร็จในการตกลง ค่อนข้างแสดงบทบาทที่ชัดเจน อยากจะให้ทางยุโรปรักษาความเป็นกลาง
อันนี้ก็เป็นส่วนหนึ่ง อันที่สองจีนก็แสดงบทบาทไม่ว่าใครผิดใครถูกก็แล้วแต่ ในเรื่องความช่วยเหลือ สิทธิมนุษยชน มนุษยธรรม เป็นต้น ให้ความช่วยเหลือได้เยอะอยู่พอสมควร อันนี้ก็เป็นการแสดงบทบาทของจีน ในฐานะที่มีความรับผิดชอบต่อประชาคมโลก” ผศ.ดร.หลี่ กล่าว
ด้าน รศ.ดร.สิทธิพล เครือรัฐติกาล วิทยาลัยสหวิทยาการ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ชวนจับตา 4 ประเด็นใหญ่ในปี 2565 ได้แก่ 1.การประชุมใหญ่สมัชชาพรรคคอมมิวนิสต์ครั้งที่ 20 ซึ่งคาดว่า สี จิ้นผิง จะยังคงดำรงตำแหน่งเลขาธิการพรรคต่อไปอีกสมัย ซึ่งจะทำให้เป็นบุคคลที่อยู่ในตำแหน่งผู้นำของจีนยาวนานกว่าคนอื่นๆ ก่อนหน้าแต่ก็จะมีผลให้นโยบายต่างประเทศของจีนมีท่าทีแข็งกร้าว และสี จิ้นผิง จะได้รับความนิยมในฐานะผู้กอบกู้ชาติ เนื่องจากจีนมีปมเรื่อง “ศตวรรษแห่งความอัปยศ (ปี 2383-2492)” ยุคสมัยที่จีนถูกต่างชาติกระทำอย่างไม่เป็นธรรม
2.ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ กับจีน ซึ่งจีนมองว่าสหรัฐฯ พยายามปิดล้อมตน แต่จีนก็เห็นว่าตนยังไม่มีประสบการณ์มากพอจะแข่งขันกับสหรัฐฯ ในเวทีโลก 3.ความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับประเทศเพื่อนบ้านร่วมทวีปเอเชีย เช่น ประเด็นไต้หวันและทะเลจีนใต้ ในขณะที่จีนมองว่าเป็นเรื่องภายในของตน ประเทศอื่นๆ มองแตกต่างออกไปว่าเป็นเรื่องความมั่นคงทางภูมิรัฐศาสตร์ และประเทศเหล่านั้นอาจกระชับความสัมพันธ์กับสหรัฐฯ มากขึ้น
และ 4.ซอฟท์เพาเวอร์ (Soft Power) จีนไม่สามารถใช้กำลังบังคับให้ใครมาเชื่อแบบที่จีนเชื่อได้ ซึ่งสิ่งที่จีนต้องทำให้อยากชนะใจต่างชาติ คือการผ่อนคลายมาตรการคุมเข้มสื่อบันเทิง และยอมรับการสื่อสารสองทางกับชาวโลก ทั้งนี้ เมื่อหันมาดูภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) และประเทศไทย “การเคารพกฎหมายระหว่างประเทศและการเจรจาเพื่อแก้ไขข้อพิพาทอย่างสันติ” เป็นหนทางที่ไทยควรยึดหลักไว้ในการแสดงท่าทีเกี่ยวกับข้อพิพาทไม่ว่าจะเป็นชาติมหาอำนาจ หรือประเทศเล็ก-ใหญ่แห่งใดก็ตาม อีกทั้งควรประสานให้อาเซียนมีจุดยืนนี้ร่วมกันด้วย
“อาจจะไม่ต้องเห็นพ้องต้องกันทั้ง 10 ประเทศก็ได้ แต่ประเทศที่เป็นแกนของอาเซียน เป็นประเทศที่เป็นผู้ก่อตั้ง มาเลเซีย สิงคโปร์ อินโดนีเซีย ประเทศแกนๆ สัก 4-5 ประเทศ ถ้าผนึกรวมกันเป็นเสียงเดียวกัน ผมคิดว่าเป็นเสียงที่จะมี
น้ำหนักพอที่จะทำให้ประเทศมหาอำนาจรับฟัง” รศ.ดร.สิทธิพล กล่าว
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี