อย่างที่ทราบกันดีแล้วว่า เมื่อปีที่ผ่านมา จนมาถึงปีนี้มีความเคลื่อนไหวในแวดวงธุรกิจที่น่าสนใจ ใน 2 เรื่องด้วยกัน ซึ่งทั้ง 2 เรื่องนั้น คือ การผนึกกำลังกันของ 2 ทุนใหญ่ ในตลาดค้าปลีก และกิจการโทรคมนาคม แน่นอนว่า การเติบโตของบริษัทอันดับต้นๆ ของประเทศไทย ย่อมเป็นเรื่องที่สมควรส่งเสริม เพื่อที่จะทำให้เรามีศักยภาพในการแข่งขันทางการตลาดในระดับโลก แต่ในอีกทางหนึ่งก็มีประเด็นที่ต้องไม่วางใจ เพราะการเติบโตดังกล่าวนั้น อาจมีผลกระทบต่อประชาชน รวมไปถึงธุรกิจขนาดเล็ก ทั้งในด้านโอกาสทางการแข่งขัน และความไม่เป็นธรรมในการกำหนดราคาสำหรับผู้บริโภค
ในฐานะตัวแทนประชาชน ผมได้ทำหน้าที่ในสภาผู้แทนราษฎร เรียกร้องให้มีการตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาผลกระทบต่อประชาชน จากการควบรวมกิจการโทรคมนาคม และการค้าปลีก ตลอดถึงผลกระทบจากการขยายตัวของทุนขนาดใหญ่ที่กระทบทุนชาวบ้านขนาดเล็ก เพื่อหามาตรการคุ้มครองประชาชนในฐานะผู้บริโภค และทุนชาวบ้าน จนได้รับมอบหมายหน้าที่ให้เป็นรองประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาผลกระทบ กรณีการควบรวมกิจการโทรคมนาคม ระหว่าง True และ Dtac และการค้าปลีก-ค้าส่ง สภาผู้แทนราษฎร
โดยผมขอใช้พื้นที่ตรงนี้ ในการยืนยันหลักการทำงานของผมต่อกรณีดังกล่าวที่เกิดขึ้น รวมไปถึงการนำเสนอข้อสังเกตบางส่วนที่เกิดขึ้นจากการทำงานอย่างหนักของคณะกรรมาธิการชุดนี้ ที่มี นาวาอากาศเอก อนุดิษฐ์นาครทรรพ เป็นประธานฯ เพื่อเป็นการแจ้งให้ทราบ และเปิดรับความคิดเห็นจากประชาชน ในการสร้างกรอบอันเหมาะสมสำหรับกลไกที่นำไปสู่การเติบโตทางธุรกิจ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อประชาชน ตลาดการค้า และกิจการต่างๆ รวมไปถึงประเทศไทยของเรา ดังนี้
ผมขอเริ่มต้นที่ นัยสำคัญของการแข่งขันทางการค้าอย่างเสรี ซึ่งเป็นที่ทราบกัน และยอมรับกันทั่วโลกว่าผู้บริโภคจะได้รับประโยชน์เมื่อธุรกิจมีการแข่งขัน และผู้บริโภคจะได้รับประโยชน์เมื่อธุรกิจมีการแข่งขันอย่างเสรี และแข่งขันกันได้อย่างเต็มที่ นี่คือหลักการของกฎหมายว่าด้วยการแข่งขันทางการค้าเสรี อันหมายความว่า กฎหมายป้องกันการผูกขาดนั้น มีวัตถุประสงค์ที่สำคัญใน 2 เรื่อง คือ 1. ป้องกันการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม และนำไปสู่การครอบงำตลาด และ 2. การรักษาผลประโยชน์ของผู้บริโภคที่พึงจะได้รับจากการแข่งขันทางธุรกิจ
ด้วยหลักการ 2 ข้อดังกล่าวนี้เอง หน้าที่ของรัฐบาลในฐานะหน่วยงานในการกำกับดูแลให้เกิดการค้าเสรีอย่างแท้จริง ต้องดำเนินการให้ธุรกิจการค้าในประเทศไทย ประกอบกิจการภายใต้เงื่อนไข 3 ประการด้วยกัน คือ
1. ห้ามให้มีข้อตกลงระหว่างคู่แข่งทางธุรกิจที่สร้างข้อจำกัดทางการค้าอย่างไม่สมเหตุสมผล
2. ห้ามการผูกขาด หรือการสร้างเงื่อนไขที่จะนำไปสู่การผูกขาด ที่ทำให้เกิดการขยายส่วนแบ่งของตลาด และการสร้างอำนาจการต่อรองในอนาคตที่ไม่เป็นธรรม
และ 3. ป้องกันการควบรวมธุรกิจ หรือบริษัท ที่ทำให้การแข่งขันลดลง
ดังนั้น เมื่อพิจารณาจากเงื่อนไขทั้ง 3 ข้อนี้แล้ว ผมมองว่า ในกรณีการควบรวมของ True และ Dtac รวมไปถึงกรณีของแม็คโคร และโลตัส นั้น สิ่งที่รัฐบาลของประเทศไทยต้องดำเนินการในทันที เพื่อสร้างความโปร่งใสไม่ขัดต่อหลักการตามที่ได้นำเสนอมาก็คือ 1. ต้องเปิดเผยรายละเอียดของข้อตกลงทั้งหมดให้กับประชาชนได้ทราบ 2. ต้องวิเคราะห์ให้ชัดเจนเลยว่า ข้อตกลงดังกล่าวนั้น จะนำไปสู่การแข่งขันที่เป็นธรรมหรือไม่ และ 3. ต้องวิเคราะห์ไปถึงผู้บริโภค และประชาชน ว่าจะได้รับประโยชน์จากการแข่งขันทางการตลาด หลังการควบรวมดังกล่าวนี้ มากขึ้นหรือไม่ อย่างไร นี่เป็นสิ่งที่ต้องเกิดขึ้น และต้องเกิดขึ้นจริง โดยไม่อิงผลประโยชน์อันใดแอบแฝง
ในรัฐธรรมนูญก็ได้มีการเขียนเอาไว้อย่างชัดเจนว่า รัฐบาลจะต้องรักษาระบบธุรกิจ และเศรษฐกิจเสรี ซึ่งก็เป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่จะต้องพึงปฏิบัติหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ อีกทั้งประเทศไทยของเรา ก็มีพระราชบัญญัติการแข่งขันการค้าในปี พ.ศ. 2560 มาแล้ว แต่ที่ผ่านมา ก็มีคำถามเกิดขึ้นเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ของผู้ที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะคณะกรรมการแข่งขันทางการค้า หรือ กขค. ทั้งในกรณี การควบรวมของธุรกิจขนาดใหญ่ คือ แม็คโคร กับโลตัส ที่ลุล่วงไปแล้ว รวมไปถึงแนวทางการทำธุรกิจ และกลยุทธ์สร้างความเจริญเติบโตของร้านสะดวกซื้อเจ้าใหญ่ ที่หลายคนมีความเห็นอันแตกต่างไปจากคณะกรรมการแข่งขันทางการค้า ซึ่งมองว่า สามารถกระทำได้อย่างถูกต้อง มีเหตุและผลที่รองรับเอาไว้อย่างครบถ้วนตามกรอบกติกาของกฎหมาย
ยกตัวอย่างจากข้อมูลที่ได้รับมา ในกรณีควบรวมแม็คโคร กับโลตัส คณะกรรมการแข่งขันทางการค้าพิจารณาว่ามีความจำเป็นให้ทางซีพีเข้าซื้อกิจการโลตัส เพราะโลตัสต้องการที่จะยุติการทำธุรกิจในประเทศไทย หากไม่มีคนเข้ามาซื้อกิจการอาจทำให้เกิดปัญหาคนตกงานเป็นจำนวนมาก ซึ่งเหตุผลดังกล่าวนี้ ผมมองว่า คณะกรรมการชุดนี้ให้น้ำหนักต่อประเด็นการมีอำนาจเหนือตลาด และผลกระทบต่อธุรกิจขนาดเล็ก และประชาชนในฐานะผู้บริโภคน้อยเกินไป ซึ่งจากการศึกษาในชั้นของกรรมาธิการฯ ผม และคณะก็พบรายละเอียดที่น่าตกใจอยู่หลายเรื่อง เกี่ยวกับเงื่อนไขทั้ง 7 ข้อที่คณะกรรมการชุดดังกล่าวยื่นต่อทางซีพีให้ต้องปฏิบัติตามภายหลังการควบรวมเสร็จสิ้น อาทิ การส่งเสริม SME ให้เติบโตได้ 10% ของทุกปี ที่อาจไปสร้างความยากลำบากให้กับ SME อีก 90% ที่เหลือ หรือการห้ามควบรวมธุรกิจแบบเดียวกันอีกเพียง 3 ปี และไม่รวมถึงตลาดอีคอมเมิร์ซ(E-Commerce) ซึ่งน้อยเกินไป และเปิดช่องให้เข้าไปครอบครองตลาดออนไลน์ได้อีกทาง เป็นต้น ตรงนี้ก็เป็นประเด็นที่ทางคณะกรรมาธิการของเรากำลังหาทางอันเหมาะสมและเป็นธรรมกับทุกฝ่าย เพื่อวางกรอบที่ตรงตามหลักการที่กำหนดเอาไว้กันอยู่
ส่วนในกรณีของการควบรวมของ True และ Dtac ที่กำลังดำเนินการอยู่นั้น ผมได้มีคำถามอันเกี่ยวข้องกับข้อตกลงของการควบคุมบริษัทดังกล่าว จากคณะกรรมการแข่งขันทางการค้า ที่ต้องเชิญมาร่วมหาคำตอบในคณะกรรมาธิการของเราให้ได้ว่า 1. การควบรวมนี้สร้างข้อจำกัดทางธุรกิจให้ผู้ประกอบการรายอื่นๆ และรายใหม่อย่างไร 2. การควบคุมนี้นำไปสู่การผูกขาดและการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรมหรือไม่ และ 3. การควบรวมนี้ จะทำให้ประชาชนผู้บริโภคยังสามารถรักษาผลประโยชน์ของตัวเองได้ จริงหรือไม่
โดยผมได้เสนอต่อทางคณะกรรมาธิการฯ และจะหารือวางแนวทางร่วมกับคณะกรรมการแข่งขันทางการค้า และสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ กสทช. เพื่อขอให้เปิดเวทีสาธารณะเพื่อรับฟังความคิดเห็นของประชาชน และผู้ทรงคุณวุฒิทั้งหลาย รวมไปถึงการขอให้เปิดเผยข้อตกลงการควบรวมระหว่าง True และ Dtac ตั้งแต่บริษัทแม่จนถึงบริษัทลูก ว่าเชื่อมโยงกันอย่างไร ซึ่งหวังว่า หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดังกล่าวนี้ จะรับข้อเสนอแนะ และข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการของเรา เพื่อนำไปใช้ประกอบการพิจารณาอย่างละเอียดอีกครั้ง
ทั้งหมดนี้ เป็นหลักการ และความคืบหน้า ต่อการตรวจสอบเพื่อสร้างกรอบกติกาที่เป็นธรรมสำหรับการประกอบกิจการในประเทศไทย ที่ทุกฝ่ายจะได้รับโอกาส และประโยชน์ อันเสรี และเป็นธรรมอย่างแท้จริง ภายใต้กฎหมาย และจริยธรรมทางการค้า ไม่ว่าจะเป็นบริษัทขนาดใหญ่ ขนาดเล็ก ผู้ประกอบการชาวบ้าน และที่สำคัญ คือ ประชาชนคนไทยในฐานะผู้บริโภคทุกคน
กนก วงษ์ตระหง่าน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี