“ภัยพิบัติ” มีทั้งที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติและที่เกิดโดยมนุษย์ แต่ไม่ว่าภัยพิบัติจะเกิดจากสาเหตุใด “การเตรียมรับมือ” สามารถช่วยลดระดับความเสียหาย ผ่อนหนักให้เป็นเบาได้ ด้านหนึ่งการรับมือภัยพิบัติจึงเป็นหน้าที่ของรัฐ แต่อีกด้านหนึ่ง ในหลายพื้นที่ประชาชนก็ลุกขึ้นมาพึ่งพาตนเองเช่นกัน ดังวงเสวนา (ออนไลน์) หัวข้อ “ชุมชนไทTalk EP.5 ตอน จากชุมชนประสบภัย สู่ชุมชนพร้อมรับมือภัยพิบัติ” จัดโดย ขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม (P-move)เมื่อเร็วๆ นี้
อริยา แก้วสามดวง เครือข่ายชุมชนรับมือภัยพิบัติ จ.ตรัง เล่าว่า ตนเองอยู่ในพื้นที่ ต.วังมะปรางเหนือ อ.วังวิเศษ ที่นี่มีปัญหาน้ำท่วมน้อยที่สุดและมีเครือข่ายรับมือภัยพิบัติที่เข้มแข็งที่สุด แต่ในความที่น้ำท่วมน้อยนั้นเมื่อใดที่ท่วมก็ต้องบอกว่าหนักทุกครั้งเพราะสภาพภูมิประเทศเป็นพื้นที่ลาดชัน โดยพื้นที่ อ.วังวิเศษ มีคลองชีตัดผ่านครอบคลุมทั้ง 5 ตำบล (เขาวิเศษวังมะปราง อ่าวตง ท่าสะบ้าและวังมะปรางเหนือ) มีต้นน้ำที่ ต.อ่าวตง ไปสุดที่ ต.ท่าสะบ้า บรรจบกับแม่น้ำตรัง
ดังนั้นช่วงไหนที่ฝนตกหนัก อ.วังวิเศษ ต้องเผชิญทั้งมวลน้ำที่มาจากเขานอจู้จี้ จ.กระบี่ ซึ่งอยู่ติดกับ จ.ตรัง ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ไหลมาทางคลองชี และมวลน้ำจากแม่น้ำตรัง ที่ไหลมาจาก อ.ทุ่งสง จ.นครศรีธรรมราช ซึ่งอยู่ติดกับ จ.ตรัง ทางทิศเหนือ โดยที่ผ่านมาพื้นที่ลุ่มแม่น้ำตรังก็ไม่เคยถูกพัฒนาให้รองรับสถานการณ์ทั้งน้ำท่วมและภัยแล้ง นอกจากนี้ ปลายทางของแม่น้ำตรังคือ ทะเลอันดามัน ที่ อ.กันตัง ทำให้มีน้ำทะเลหนุนสูงอีก
“สภาพพื้นที่ตรัง ข้างหนึ่งเป็นภูเขาซีกหนึ่งเป็นท้องกระทะ เหมือนกระทะเอียงดังนั้น พื้นที่ที่กระทะเอียงอยู่ด้านล่างก็จะถูกน้ำท่วมขังนาน วิกฤตเหล่านี้มันสอนให้เราเรียนรู้ที่จะลุกขึ้นมาช่วยเหลือกันเอง เมื่อปี 2545-2547 เกิดภัยแล้งหนัก วิกฤตภัยแล้งมันทำให้เราลุกขึ้นมาว่าสายน้ำที่ตัดผ่านมันใช้ไม่ได้แล้ว มันจะแก้ปัญหาอนุรักษ์อย่างไร ทำให้คิดเรื่องว่าการอนุรักษ์พื้นที่หรือการช่วยเหลือกัน มันต้องสร้างคน ก็เลยสร้างสโลแกน สร้างน้ำและป่าในใจคน พัฒนาอาสาสมัครมาตั้งแต่ปีนั้น” อริยา ระบุ
แม้จุดเริ่มต้นจะเป็นการรวมตัวของจิตอาสาเพื่อรับมือภัยพิบัติในพื้นที่ จ.ตรัง แต่ภารกิจแรกหลังฝึกอบรมคือการระดมความช่วยเหลือไปสู่จังหวัดข้างเคียงที่ประสบหายนภัยจากเหตุคลื่นยักษ์สึนามิซัดถล่มพื้นที่ชายฝั่งทะเลอันดามันเมื่อปี 2547 ซึ่งยิ่งทำให้เห็นถึงความสำคัญของการเตรียมพร้อมเพื่อรับมือภัยพิบัติทางธรรมชาติ และจากการออกไปช่วยเหลือผู้ประสบภัยสึนามิ ทำให้เครือข่ายชุมชนรับมือภัยพิบัติ จ.ตรัง มีเพื่อนร่วมเส้นทางจิตอาสามากขึ้น ดังนั้น เมื่อจ.ตรัง เกิดน้ำท่วมใหญ่ ก็ได้รับความช่วยเหลือจากเครือข่ายจังหวัดอื่นๆ กลับมาเช่นกัน
อริยา เล่าต่อไปว่า เครือข่ายชุมชนรับมือภัยพิบัติ จ.ตรัง เกิดมาจากเครือข่ายอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม อนุรักษ์ลุ่มน้ำ รวมถึงเฝ้าระวังมลพิษจากโรงงานอุตสาหกรรม ก่อนจะกลายมาเป็นอาสาสมัครทำงานด้านรับมือภัยพิบัติในภายหลังซึ่งสมาชิกผ่านการอบรมหลักสูตรต่างๆ เช่น หลักสูตรอาสาสมัครป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน (อปพร.) สนับสนุนงานอำนวยการจราจรบนท้องถนน หรือหลักสูตรนักวิทยุสมัครเล่น (VR) คอยแจ้งเหตุฉุกเฉิน อาทิ น้ำท่วมถนนถูกตัดขาด ส่วนตนเองทำหน้าที่ระดมทุนเพื่อสนับสนุนทั้งการฝึกอบรมและการปฏิบัติภารกิจของอาสาสมัครเหล่านี้
“เราไม่ได้สามารถแก้ปัญหาของภัยพิบัติทางธรรมชาติได้ แต่เราป้องกันภัยพิบัติจากมนุษย์ได้ และเราเตรียมตัวรับกับปัญหาของธรรมชาติได้ นั่นคือข้อดีของวังวิเศษ ทำให้วังวิเศษที่เหมือนกับว่า ถ้าเป็นพื้นที่สมมุติว่าเป็นท้องกระทะเรานี่อยู่บนจอมปลวกที่เป็นโคกอยู่กลางกระทะ คุณเก่งแค่ไหนคุณก็ไม่รอดถ้าคุณไม่ช่วยเพื่อนแล้วให้เพื่อนช่วยคุณ คุณไม่ช่วยเพื่อนก่อน คุณอยู่ที่สูงแล้วคิดว่ารอดแล้ว ไม่รอดหรอก วันนั้นสิ่งเรียนรู้เหล่านี้มันทำให้พวกเรารวมตัวกันได้ แล้วก็ใช้วิธีใจซื้อใจ มีความเป็นเพื่อน ไม่มีลูกพี่-ลูกน้อง” อริยา กล่าว
ด้าน อำนาจ จันทร์ช่วง รองผู้จัดการมูลนิธิชุมชนไทรับผิดชอบงานส่งเสริมชุมชนรับมือภัยพิบัติ กล่าวว่า มูลนิธิชุมชนไท มีภารกิจเสริมสร้างความเข้มแข็งขององค์กรชุมชน ซึ่งความสามารถในการรับมือภัยพิบัติก็เป็นอีกด้านหนึ่ง ทำอย่างไรชุมชนจะสามารถช่วยเหลือตนเองได้ก่อน ตั้งแต่การทำงานกับอาสาสมัครในพื้นที่ ให้รับรู้ เรียนรู้ เชื่อมโยงและเตรียมความพร้อมรับมือภัยพิบัติได้ในระดับชุมชน
อย่างไรก็ตาม การรับมือภัยพิบัติไม่ว่าเกิดโดยธรรมชาติหรือมนุษย์ ลำพังการทำงานของอาสาสมัครกลุ่มเดียวอาจไม่เพียงพอโดยเฉพาะภัยพิบัติที่ส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง จึงต้องประสานความร่วมมือในรูปแบบเครือข่าย ซึ่ง จ.ตรัง เป็นอีกพื้นที่ที่มูลนิธิชุมชนไท เข้าไปทำงานด้านความเข้มแข็งขององค์กรชุมชน เชื่อมโยงกับเครือข่ายอื่นๆ ในพื้นที่ภาคใต้ ภาคกลาง และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
สำหรับ จ.ตรัง ซึ่งชุมชนและอาสาสมัครระดับชาวบ้านค่อนข้างเข้มแข็ง ความท้าทายต่อไปคือจะทำอย่างไรให้สามารถยกระดับความร่วมมือไม่เฉพาะแต่ภาคประชาชนด้วยกันเองเท่านั้น แต่รวมไปถึงความร่วมมือกับภาคท้องถิ่นและหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ทั้งข้อมูล อุปกรณ์เครื่องมือต่างๆ เชื่อมโยงระหว่างชุมชนที่ช่วยเหลือตนเองได้ในเบื้องต้นกับหน่วยงานที่เข้าไปให้ความช่วยเหลือ สนับสนุนให้เกิดการจัดการหรือแก้ไขปัญหาได้อย่างรวดเร็วทันการณ์
“ในระดับพื้นที่ที่มีความเข้มแข็ง ชุมชนที่เตรียมความพร้อมก็ไม่น่าห่วงมาก แต่ปัญหาคือในเรื่องของข้อจำกัดบางอย่างในเรื่องแนวทางของการขับเคลื่อนโดยเฉพาะชุมชนเสี่ยงภัยที่ทาง ปภ. (กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย) ประกาศไว้อย่างน้อย 20,000-40,000 ชุมชนทั่วประเทศ ในเรื่องของการที่หนุนเสริมหรือสนับสนุนชุมชนให้เตรียมพร้อมรับมือกับภัยต่างๆ หลายประเภทในทั่วประเทศยังมีข้อจำกัดอยู่ ค่อนข้างมากพอสมควร” อำนาจ กล่าว
อำนาจ ยกตัวอย่าง เช่น ชุมชนที่ยังไม่มีสิทธิ์ ชุมชนที่ยังเข้าไม่ถึงระบบการเตรียมความพร้อมรับมือ ชุมชนที่ยังไม่ตระหนักถึงการเตรียมความพร้อม ซึ่งมูลนิธิชุมชนไท เป็นเพียงองค์กรเล็กๆ เข้าไปให้การสนับสนุนได้ในบางพื้นที่เท่านั้น ดังนั้น จะทำอย่างไรให้ทุกชุมชนสามารถรับมือภัยพิบัติด้วยตนเองได้ โดยมีหน่วยงานภาครัฐและอื่นๆ ให้การสนับสนุน ผ่านกลไกตั้งแต่ระดับท้องถิ่นถึงระดับประเทศ
ซึ่งในขณะที่ภัยพิบัติมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น ทั้งภัยธรรมชาติ โรคระบาดและอื่นๆ แต่การสนับสนุนบทบาทของชุมชนยังมีข้อจำกัด โดยเฉพาะในด้านกฎหมายที่เกี่ยวข้อง!!!
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี