กว่า 2 ปี กับสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 ซึ่งส่งผลกระทบอย่างกว้างขวางไม่ว่าจะเป็นสุขภาพ เศรษฐกิจ รวมถึง“การศึกษา” เนื่องจากต้องปรับเปลี่ยนการเรียนการสอนไปเป็นระบบออนไลน์ ที่พบปัญหาความเหลื่อมล้ำโดยครัวเรือนที่ฐานะไม่ดีนักหรืออยู่ในพื้นที่ห่างไกลเข้าไม่ถึงเครื่องมือ เช่น มือถือสมาร์ทโฟน คอมพิวเตอร์ แท็บเลต ตลอดจนสัญญาณอินเตอร์เนตความเร็วสูง ขณะเดียวกัน การเรียนออนไลน์อย่างไรเสียก็ไม่สามารถทดแทนประสบการณ์ของการไปเรียนที่โรงเรียน ที่มีบรรยากาศของการทำกิจกรรมต่างๆ ร่วมกันระหว่างครูและเพื่อนนักเรียน
แต่ในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 โรงเรียนได้กลับมาเปิดสอนอีกครั้ง ด้วยสถานการณ์โรคระบาดที่เริ่มคลี่คลาย โควิด-19 เตรียมกลายเป็นเพียงโรคประจำถิ่น จึงต้องมีการช่วยให้เด็กๆ ได้ปรับตัวหลังจากที่อยู่แต่บ้านกันมานานโดยเมื่อเร็วๆ นี้ เฟซบุ๊คแฟนเพจ “Net PAMA: เน็ตป๊าม้า”ซึ่งได้รับการสนับสนุนจาก สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จัดบรรยาย (ออนไลน์) หัวข้อ “ดูแลใจลูก เมื่อต้องเรียน onsite” โดยมี พญ.วิมลรัตน์ วันเพ็ญ จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น ผู้อำนวยการศูนย์สุขภาพจิตที่ 13 มาเป็นผู้ให้ความรู้พ่อแม่ผู้ปกครอง
พญ.วิมลรัตน์ กล่าวว่า ผู้ปกครองจะต้องรู้นิสัยของเด็กก่อน พอเปิดเรียนจะมีทั้งเด็กที่อยากไปเรียนและไม่อยากไปเรียน และจะต้องดูพื้นฐานอารมณ์ของเด็กว่าเป็นอย่างไร ซึ่งเด็กแต่ละคนมีนิสัยที่ไม่เหมือนกัน ซึ่งเด็กบางคนมีนิสัยที่ไม่เหมือนพ่อแม่ แต่เหมือนญาติพี่น้อง และเด็กบางคนมีนิสัยที่ปรับตัวง่าย ซึ่งกลุ่มนี้ไม่ค่อยมีปัญหา แต่กลุ่มที่มีปัญหาเมื่ออยู่นอกบ้านคือ “เด็กที่ปรับตัวช้า” ซึ่งเป็นเด็กที่ปรับตัวได้แต่จะต้องใช้เวลา
“พื้นฐานของเด็กกลุ่มนี้เป็นเด็กที่ชอบกังวล จึงทำให้เวลาเด็กอยู่บ้านแล้วสบายใจ นอกจากนี้จะต้องแยกเด็กเล็กกับเด็กโตด้วย เพราะว่าถ้าเด็กไม่เคยไปโรงเรียน เช่น เด็กเพิ่งเข้าอนุบาลครั้งแรก หรือเปิดเรียนแล้วเรียนออนไลน์เลย ซึ่งกลุ่มนี้จะต้องให้เวลาปรับตัว แต่สำหรับอีกกลุ่มที่เป็นเด็กโตแต่ปรับตัวยาก นอกจากที่ผู้ปกครองมีความกังวลแล้วจะมีเกิดอารมณ์หงุดหงิดด้วย จึงทำให้ผู้ปกครองควรใช้ความอดทนเพิ่มขึ้นด้วย” พญ.วิมลรัตน์ ระบุ
สำหรับวิธีแก้ปัญหาของเด็กที่กังวลกับการไปโรงเรียน มีดังนี้ 1.อย่าขู่เด็กซ้ำ ซึ่งพื้นฐานของเด็กกลุ่มนี้คือความกังวลไม่ใช่ความขี้เกียจ 2.ไม่โกหก ถ้าหากเด็กเจอความจริงที่ไม่ตรงกับที่ผู้ปกครองบอก ยิ่งทำให้เด็กเพิ่มความกังวลมากขึ้น และ 3.อย่าติดสินบน การพูดความจริงเป็นสิ่งที่ดีที่สุด บอกให้เด็กรับรู้ว่าไปโรงเรียนจะพบเจอสิ่งใดบ้าง ผู้ปกครองต้องรับฟังเด็กก่อนว่ากังวลสิ่งใด และผู้ปกครองจะต้องไม่หงุดหงิดกับเด็ก
นอกจากนั้น “ผู้ปกครองควรลดความกังวล (ไม่ว่าตัวผู้ปกครองเองหรือบุตรหลาน)” เพราะว่าการที่ผู้ปกครองแอบไปส่องเด็กในโรงเรียนแล้วเด็กเห็นผู้ปกครอง จะทำให้เด็กปรับตัวยากขึ้นมากว่าปล่อยให้เด็กอยู่ที่โรงเรียน การที่ผู้ปกครองแอบไปดูเด็ก จะทำให้เด็กที่กำลังฝึกปรับตัวขาดสมาธิ และการที่ผู้ปกครองลดความกังวลของตนเองลง จะทำให้เด็กรับรู้ได้ว่าการไปโรงเรียนเป็นสิ่งที่ปลอดภัย และทำให้เด็กไปโรงเรียนอย่างสบายใจขึ้น
ขณะที่หลังเวลาเลิกเรียน ผู้ปกครองควรพูดคุยกับเด็ก เช่น เรื่องจิปาถะ โดยใช้คำถามที่ลงท้ายว่า “เป็นอย่างไรบ้าง”เพื่อให้เด็กได้เล่าโดยที่ไม่ต้องกังวล แต่เมื่อเด็กเจอกับปัญหาที่โรงเรียนเด็กแล้วผู้ปกครองรับฟัง เด็กจะสามารถผ่านพ้นกับปัญหาไปได้ ถ้าปัญหาที่ทำให้เด็กไม่อยากไปโรงเรียนโดยเกิดจากโดนกลั่นแกล้ง ผู้ปกครองจะต้องหาสาเหตุและหาวิธีเพื่อแก้ปัญหา แต่ถ้าเป็นปัญหาการปรับตัวของเด็ก จะต้องเรียนรู้ที่จะปรับตัวต่อไป
“การคุยกับลูกหลังเลิกเรียนไม่จำเป็นต้องพูดคุยทุกวันแต่ให้มีช่วงเวลาที่ผู้ปกครองพร้อมและไม่จำเป็นต้องใช้เวลาเยอะ แต่จะเป็นเวลาที่มีคุณภาพ ซึ่งส่วนใหญ่ผู้ปกครองจะรู้นิสัยของเด็ก แต่สิ่งที่สำคัญคือเวลาพูดคุยเสร็จ ให้คุยด้วยความพร้อมของผู้ปกครอง พอพูดคุยแล้วมีปัญหาผู้ปกครองจะต้องพร้อมที่จะอดทน เพราะเป็นการสร้างความรู้สึกปลอดภัยให้กับเด็ก แล้วเด็กจะมองว่าผู้ปกครองมีความเข้าใจในตัวเขา” พญ.วิมลรัตน์ กล่าว
พญ.วิมลรัตน์ยังกล่าวถึงประเด็น “เด็กถูกกลั่นแกล้งรังแก” ไว้ด้วยว่า โดยมีวิธีที่ดีที่สุด คือ “การอยู่เฉยๆ” เพราะความเมินเฉยจะทำให้ผู้กลั่นแกล้งเกิดความเบื่อหน่าย แต่ถ้าเด็กอยากพูดคุยกับอีกฝ่ายก็แนะนำว่าอย่าด่าทอกันซึ่งหน้าที่หลักของผู้ปกครองคือประคองให้เด็กผ่านพ้นช่วงเวลาถึงวัยรุ่นตอนต้นไปให้ได้ เพราะเด็กช่วงนี้จะสนใจเรื่องของการเรียนมากกว่ากลั่นแกล้งกัน เมื่อลูกถูกกลั่นแกล้งผู้ปกครองต้องใจเย็น โดยเด็กส่วนใหญ่จะปรับตัวได้เพราะมีเพื่อนกลุ่มเล็กๆ เป็นของตัวเอง
แต่ถ้าหากเด็กไม่สามารถเข้าสังคมในโรงเรียนได้จริงๆ สามารถปรึกษาจิตแพทย์และครูก่อนได้ ซึ่งบางทีเด็กที่ปรับตัวเข้าสังคมไม่ค่อยได้ก็ยังไปโรงเรียน แต่เด็กบางคนกีดกันทุกอย่างเพื่อไม่ไปโรงเรียน จึงจำเป็นต้องพบจิตแพทย์เพื่อรักษา ซึ่งผู้ปกครองสามารถสังเกตพฤติกรรมของเด็กได้เช่น แยกตัวออกห่าง โศกเศร้า หรือพฤติกรรมที่ส่งผลต่อชีวิตประจำวันของเด็ก แต่สุดท้ายเด็กทุกคนจะปรับตัวกับการไปโรงเรียนได้
ถ้าเป็นไปได้ช่วงแรกที่เด็กไปโรงเรียน ผู้ปกครองไม่ควรให้เด็กเผชิญปัญหาครั้งหนึ่งเป็นเวลานานจนเกินไป ต้องค่อยๆ ปรับตัวและเปลี่ยนวิถีชีวิต!!!
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี