วันอังคาร ที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2568
แนวหน้า
  • แนวหน้า
  • หน้าแรก
  • คอลัมน์
    • คอลัมน์วันนี้
    • คอลัมน์ออนไลน์
    • คอลัมน์การเมือง
    • คอลัมน์ลงมือสู้โกง
    • โลกธุรกิจ
    • ผู้หญิง
    • บันเทิง
    • Like สาระ
    • ดูทั้งหมด
  • ข่าวเด่น
  • พระราชสำนัก
  • การเมือง
  • โลกธุรกิจ
  • อาชญากรรม
  • กทม.
  • ในประเทศ
  • เกษตร
  • ต่างประเทศ
  • กีฬา
  • ผู้หญิง
  • บันเทิง
  • ยานยนต์
  • Like สาระ
หน้าแรก / ข่าว Like สาระ
สกู๊ปแนวหน้า : ‘หวานน้อยสั่งได้’ทำให้ชิน  ปรับพฤติกรรมลดเสี่ยง‘NCDs’

สกู๊ปแนวหน้า : ‘หวานน้อยสั่งได้’ทำให้ชิน ปรับพฤติกรรมลดเสี่ยง‘NCDs’

วันอาทิตย์ ที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2565, 06.00 น.
Tag : สกู๊ปแนวหน้า
  •  

กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข เคยแถลงยอดผู้ป่วย “เบาหวาน” เนื่องในโอกาสวันเบาหวานโลก ประจำปี 2564 ที่ผ่านมา ว่าประเทศไทยพบอุบัติการณ์โรคเบาหวานมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง มีผู้ป่วยรายใหม่เพิ่มขึ้นประมาณ 3 แสนคนต่อปี และมีผู้ป่วยโรคเบาหวานอยู่ในระบบทะเบียนของกระทรวงสาธารณสุข 3.2 ล้านคน โดย สหพันธ์โรคเบาหวานนานาชาติ (International DiabetesFederation, IDF) กำหนดให้วันที่ 14 พฤศจิกายน ของทุกปี เป็นวันเบาหวานโลก (World Diabetes Day) มาตั้งแต่ปี 2534

ทั้งนี้ เบาหวานเป็นโรคเรื้อรังที่เกิดจากความผิดปกติของร่างกายที่มีการผลิตฮอร์โมนอินซูลินไม่เพียงพอหรือร่างกายไม่สามารถนำน้ำตาลไปใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูง ซึ่งการเกิดภาวะน้ำตาลในเลือดสูงเป็นระยะเวลานาน ส่งผลให้อวัยวะเสื่อมสมรรถภาพ และทำงานล้มเหลว เป็นเหตุให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่ตา ไต หลอดเลือดหัวใจและหลอดเลือดสมอง รวมถึงเป็นแผลง่ายหายยาก ชาปลายมือปลายเท้า


สำหรับการป้องกันโรคเบาหวานควรปฏิบัติดังนี้ 1.เลือกรับประทานอาหารให้หลากหลาย เน้นผักผลไม้ และธัญพืชต่างๆ ลดอาหารประเภทหวาน มัน เค็ม 2.ควรออกกำลังกายให้สม่ำเสมอ อย่างน้อย30 นาที สัปดาห์ละ 3-5 ครั้ง 3.ทำจิตใจให้แจ่มใส นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ 7-8 ชั่วโมงต่อวัน 4.ไม่สูบบุหรี่และดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ และ 5.ตรวจสุขภาพประจำปี หากอายุมากกว่า 35 ปีขึ้นไป ควรตรวจสุขภาพทุกปี

ข้อมูลจากกรมควบคุมโรค ยังระบุ“ค่าใช้จ่ายในการรักษาเบาหวานของประเทศไทย เฉลี่ยสูงถึง 47,596 ล้านบาทต่อปี และหากรวมโรคอื่นๆ ในกลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) อาทิ โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ และโรคหลอดเลือดสมอง ทำให้ภาครัฐสูญเสียงบประมาณในการรักษารวมกันสูงถึง 302,367 ล้านบาทต่อปี อีกทั้งเบาหวานยังก่อให้เกิดโรคข้างต้นตามมาด้วย” ซึ่ง “การบริโภคความหวานมากเกินไป” เป็นหนึ่งในปัจจัยเสี่ยงที่กระตุ้นให้ป่วยด้วยกลุ่มโรค NCDs

องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ออกคำแนะนำว่า “มนุษย์ไม่ควรบริโภคน้ำตาลเกิน 25 กรัม หรือ 4-6 ช้อนชาต่อวัน” แต่น่าตกใจว่า“คนไทยบริโภคน้ำตาลถึง 21 ช้อนชาต่อวัน”ในจำนวนนี้อยู่ใน “เครื่องดื่ม” เสียครึ่งหนึ่ง ซึ่ง ทพญ.ปิยะดา ประเสริฐสม ผู้จัดการเครือข่ายเด็กไทยไม่กินหวาน สนับสนุนโดย สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.) กล่าวกับสื่อเมื่อเร็วๆ นี้ว่า เครื่องดื่มเย็นโดยเฉพาะ “กาแฟเย็น” เป็นที่นิยมตั้งแต่นักศึกษาไปจนถึงวัยทำงาน

“จริงๆ แล้วคนไทยไม่ได้ติดกาแฟ แต่คนไทยติดความหวานในกาแฟ ทั้งนี้ กลุ่มคนรุ่นใหม่ ซึ่งต่อไปจะเป็นคนที่อยู่ในวัยทำงานเป็นที่พึ่งของประเทศ ถ้าปล่อยให้การปล่อยบริโภคแบบนี้จะเป็นสังคมที่อุดมน้ำตาล สังคมไทยจะเป็นสังคมเอ็นซีดีจากภาพเหล่านี้จึงเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เครือข่ายเด็กไทยไม่กินหวาน มีแคมเปญรณรงค์ให้มีร้านกาแฟอ่อนหวาน ทำกิจกรรมรณรงค์ขอความร่วมมือจากร้านกาแฟทั้งหลาย ทำให้มีสูตรของกาแฟที่ลดปริมาณน้ำตาลลง” ทพญ.ปิยะดา ระบุ

ที่มาที่ไปของการดำเนินโครงการ มาจากการสำรวจย่านเศรษฐกิจในกรุงเทพฯ พบว่า ร้านขายเครื่องดื่มในย่านอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ถนนราชวิถี พบน้ำตาลในเครื่องดื่ม 1 แก้วมากกว่า 10 ช้อนชาไปถึง 20 ช้อนชา ขณะที่ร้านในย่านสีลมจะใส่น้ำตาลน้อยกว่านั้น ซึ่งเหตุผลอาจเป็นไปได้ว่า ย่านสีลมเป็นย่านของชาวออฟฟิศที่ค่อนข้างจะใส่ใจดูแลสุขภาพ มากกว่าย่านอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิที่เป็นแหล่งรวมของผู้คนทุกระดับ

จากการทำงานของเครือข่ายเด็กไทยไม่กินหวาน จนถึงปัจจุบันครบ 1 ทศวรรษ หรือ 10 ปีพอดี มีความก้าวหน้าไปตามลำดับ อาทิ ศูนย์เด็กเล็กอ่อนหวาน โครงการโรงเรียนปลอดน้ำอัดลมเป็นต้น จนเป็นแรงกระเพื่อมให้มีภาษีความหวานขึ้นเพื่อกระตุ้นเตือนคนไทยลดบริโภคลดหวาน รวมถึงการสั่งซื้อเครื่องดื่มผ่านแพลตฟอร์ม ที่มีไรเดอร์เป็นคนนำส่ง ทางเครือข่ายได้ทำงานกับแพลตฟอร์มให้มีตัวเลือกในเมนูให้เลือกหวานมากหวานน้อยด้วย

“ก้าวต่อไปในปีที่ 11 ของเครือข่าย ยังทำงานรณรงค์สร้างกระแสให้ผู้บริโภคสั่งเครื่องดื่มหวานน้อย ภายใต้สโลแกนที่ว่า หวานน้อยสั่งได้อย่างน้อยลดความหวานลง 25% และ 50% ของความหวานปกติ ทั้งนี้การแบ่งความหวาน 25% และ 50%เกิดจากประสบการณ์ของเครือข่าย โดยหมอทำงานลดน้ำหนักให้คนไข้ที่ต้องการลดน้ำหนัก แต่ติดกาแฟให้ทดลองดื่มเครื่องดื่มจนปริมาณลดความหวานลงได้ เนื่องจากในผู้ใหญ่ลิ้นรับรสชาติความหวานมานาน ถ้าให้เลิกกินหวาน โดยทันทีจะทำได้ยาก จึงต้องค่อยๆ ลดปริมาณความหวานลงในที่สุดจะลดการกินหวานได้

เชื่อได้ว่าเมื่อผู้คนเกิดความตระหนักในการดื่มเครื่องดื่มรสหวานน้อยลง จะทำให้คนที่มีภาวะน้ำหนักตัวเกินมีน้ำหนักตัวลดลง สำหรับคนที่ยังติดหวานอยู่และลดไม่ได้ ควรสั่งแก้วเล็ก ขณะนี้มีหลายร้านค้ามีขนาดแก้วของเครื่องดื่มให้เลือก แม้ว่าร้านค้าจะมีแคมเปญซื้อหนึ่งแถมหนึ่ง ก็ต้องตัดใจ เพราะส่วนที่แถมจะแถมโรคมาให้ด้วย” ทพญ.ปิยะดา กล่าว

อนึ่ง “ปัจจุบันมีการนำสารอื่นมาใช้ให้ความหวานทดแทนน้ำตาล” ซึ่ง ทพญ.ปิยะดา ให้ความเห็นว่า“ไม่แนะนำ” ให้ใช้สารดังกล่าว เนื่องจากการใช้สารอื่นก็เท่ากับยังเคยชิน “ติดหวาน” อยู่ โดยมีผลการศึกษาพบว่า การบริโภคสารทดแทนความหวาน ระดับการเกิดความอ้วนไม่ต่างกับการบริโภคน้ำตาล ที่สำคัญคือคนเราจะมีจุดรับรสทั่วร่างกาย เมื่อกินสารให้ความหวานร่างกายยังรับได้อยู่ว่ากินหวานเข้ามา แม้จะเป็นสารทดแทนความหวานก็ตาม

“สารทดแทนความหวานเอาไว้ช่วยให้สำหรับแรกๆ ของคนที่ยังไม่สามารถลดได้จริงๆ ในระยะหนึ่ง ถ้าเรายังสบายใจกับสารทดแทนความหวาน นั่นคือคุณเป็นมนุษย์ติดหวาน ไม่แน่ใจว่าในระยะยาวจะมีผลต่อร่างกายหรือไม่ แม้จะเคลมว่าเป็นสมุนไพรก็ตาม อย.มีการควบคุมปริมาณ หากทานมากไปอาจมีพิษต่อร่างกายเช่นเดียวกับคนที่รับประทานอาหารคาวแล้วต้องกินหวานแสดงว่าติดหวาน” ผู้จัดการเครือข่ายเด็กไทยไม่กินหวาน กล่าวทิ้งท้าย

SCOOP@NAEWNA.COM

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

  • สกู๊ปแนวหน้า : ฟื้น‘กะปิกุ้งเคย’ ภูมิปัญญา‘เกาะลิบง’ สกู๊ปแนวหน้า : ฟื้น‘กะปิกุ้งเคย’ ภูมิปัญญา‘เกาะลิบง’
  • สกู๊ปแนวหน้า : ‘โครงสร้างประชากร’ ระเบิดเวลาสังคมไทย สกู๊ปแนวหน้า : ‘โครงสร้างประชากร’ ระเบิดเวลาสังคมไทย
  • สกู๊ปแนวหน้า : ลดความสูญเสียบนถนน เป้าที่ท้าทายของ‘ปราจีนบุรี’ สกู๊ปแนวหน้า : ลดความสูญเสียบนถนน เป้าที่ท้าทายของ‘ปราจีนบุรี’
  • สกู๊ปแนวหน้า : ‘เหลื่อมล้ำ’ด้านการศึกษา ปัจจัยมากกว่าระบบโรงเรียน สกู๊ปแนวหน้า : ‘เหลื่อมล้ำ’ด้านการศึกษา ปัจจัยมากกว่าระบบโรงเรียน
  • สกู๊ปแนวหน้า : ‘ลมแดด’ภัยหน้าร้อน ‘ไรเดอร์’อีกอาชีพเสี่ยง สกู๊ปแนวหน้า : ‘ลมแดด’ภัยหน้าร้อน ‘ไรเดอร์’อีกอาชีพเสี่ยง
  • สกู๊ปแนวหน้า : ปั้นครีเอเตอร์ไทยสู่ผู้ประกอบการ เสริมเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน สกู๊ปแนวหน้า : ปั้นครีเอเตอร์ไทยสู่ผู้ประกอบการ เสริมเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน
  •  

Breaking News

‘นายกฯ’เผยเมื่อวานไม่ได้ยิน‘ภท.’พูดพร้อมเป็นฝ่ายค้าน ไร้เงา‘อนุทิน’ยืนเป็นวอลเปเปอร์

(คลิป) 'อุ๊งอิ๊งค์' จะเอา! แต่ 'หนู' ไม่ยอม

'อังกฤษ'เตรียมประกาศมาตรการคว่ำบาตร'รัสเซีย'รอบใหม่

ทลายรังใหญ่ทุนจีนกลางพัทยา เปิดบ่อน-ตั้งฐานแก๊งคอลเซ็นเตอร์

Back to Top

ผู้ดูแลเว็บไซต์ www.naewna.com
webmaster นางสาวอัญชะลี ไพรีรัก
ดูแลรับผิดชอบข่าว/ภาพ/โฆษณา/ข้อมูลอื่นที่เกียวข้องกับเว็บไซต์
กรรมการบริษัทฯ, กรรมการผู้มีอำนาจ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการนำเสนอข่าว/ภาพ/ข้อมูลใดๆในเว็บไซต์ทั้งสิ้น

Social Media

  • หน้าแรก |
  • เกี่ยวกับแนวหน้า |
  • โฆษณากับเรา |
  • ร่วมงานกับเรา |
  • ติดต่อแนวหน้า |
  • นโยบายข้อตกลง
Copyright © 2017 Naewna.com All right reserved