กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข เคยแถลงยอดผู้ป่วย “เบาหวาน” เนื่องในโอกาสวันเบาหวานโลก ประจำปี 2564 ที่ผ่านมา ว่าประเทศไทยพบอุบัติการณ์โรคเบาหวานมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง มีผู้ป่วยรายใหม่เพิ่มขึ้นประมาณ 3 แสนคนต่อปี และมีผู้ป่วยโรคเบาหวานอยู่ในระบบทะเบียนของกระทรวงสาธารณสุข 3.2 ล้านคน โดย สหพันธ์โรคเบาหวานนานาชาติ (International DiabetesFederation, IDF) กำหนดให้วันที่ 14 พฤศจิกายน ของทุกปี เป็นวันเบาหวานโลก (World Diabetes Day) มาตั้งแต่ปี 2534
ทั้งนี้ เบาหวานเป็นโรคเรื้อรังที่เกิดจากความผิดปกติของร่างกายที่มีการผลิตฮอร์โมนอินซูลินไม่เพียงพอหรือร่างกายไม่สามารถนำน้ำตาลไปใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูง ซึ่งการเกิดภาวะน้ำตาลในเลือดสูงเป็นระยะเวลานาน ส่งผลให้อวัยวะเสื่อมสมรรถภาพ และทำงานล้มเหลว เป็นเหตุให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่ตา ไต หลอดเลือดหัวใจและหลอดเลือดสมอง รวมถึงเป็นแผลง่ายหายยาก ชาปลายมือปลายเท้า
สำหรับการป้องกันโรคเบาหวานควรปฏิบัติดังนี้ 1.เลือกรับประทานอาหารให้หลากหลาย เน้นผักผลไม้ และธัญพืชต่างๆ ลดอาหารประเภทหวาน มัน เค็ม 2.ควรออกกำลังกายให้สม่ำเสมอ อย่างน้อย30 นาที สัปดาห์ละ 3-5 ครั้ง 3.ทำจิตใจให้แจ่มใส นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ 7-8 ชั่วโมงต่อวัน 4.ไม่สูบบุหรี่และดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ และ 5.ตรวจสุขภาพประจำปี หากอายุมากกว่า 35 ปีขึ้นไป ควรตรวจสุขภาพทุกปี
ข้อมูลจากกรมควบคุมโรค ยังระบุ“ค่าใช้จ่ายในการรักษาเบาหวานของประเทศไทย เฉลี่ยสูงถึง 47,596 ล้านบาทต่อปี และหากรวมโรคอื่นๆ ในกลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) อาทิ โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ และโรคหลอดเลือดสมอง ทำให้ภาครัฐสูญเสียงบประมาณในการรักษารวมกันสูงถึง 302,367 ล้านบาทต่อปี อีกทั้งเบาหวานยังก่อให้เกิดโรคข้างต้นตามมาด้วย” ซึ่ง “การบริโภคความหวานมากเกินไป” เป็นหนึ่งในปัจจัยเสี่ยงที่กระตุ้นให้ป่วยด้วยกลุ่มโรค NCDs
องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ออกคำแนะนำว่า “มนุษย์ไม่ควรบริโภคน้ำตาลเกิน 25 กรัม หรือ 4-6 ช้อนชาต่อวัน” แต่น่าตกใจว่า“คนไทยบริโภคน้ำตาลถึง 21 ช้อนชาต่อวัน”ในจำนวนนี้อยู่ใน “เครื่องดื่ม” เสียครึ่งหนึ่ง ซึ่ง ทพญ.ปิยะดา ประเสริฐสม ผู้จัดการเครือข่ายเด็กไทยไม่กินหวาน สนับสนุนโดย สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.) กล่าวกับสื่อเมื่อเร็วๆ นี้ว่า เครื่องดื่มเย็นโดยเฉพาะ “กาแฟเย็น” เป็นที่นิยมตั้งแต่นักศึกษาไปจนถึงวัยทำงาน
“จริงๆ แล้วคนไทยไม่ได้ติดกาแฟ แต่คนไทยติดความหวานในกาแฟ ทั้งนี้ กลุ่มคนรุ่นใหม่ ซึ่งต่อไปจะเป็นคนที่อยู่ในวัยทำงานเป็นที่พึ่งของประเทศ ถ้าปล่อยให้การปล่อยบริโภคแบบนี้จะเป็นสังคมที่อุดมน้ำตาล สังคมไทยจะเป็นสังคมเอ็นซีดีจากภาพเหล่านี้จึงเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เครือข่ายเด็กไทยไม่กินหวาน มีแคมเปญรณรงค์ให้มีร้านกาแฟอ่อนหวาน ทำกิจกรรมรณรงค์ขอความร่วมมือจากร้านกาแฟทั้งหลาย ทำให้มีสูตรของกาแฟที่ลดปริมาณน้ำตาลลง” ทพญ.ปิยะดา ระบุ
ที่มาที่ไปของการดำเนินโครงการ มาจากการสำรวจย่านเศรษฐกิจในกรุงเทพฯ พบว่า ร้านขายเครื่องดื่มในย่านอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ถนนราชวิถี พบน้ำตาลในเครื่องดื่ม 1 แก้วมากกว่า 10 ช้อนชาไปถึง 20 ช้อนชา ขณะที่ร้านในย่านสีลมจะใส่น้ำตาลน้อยกว่านั้น ซึ่งเหตุผลอาจเป็นไปได้ว่า ย่านสีลมเป็นย่านของชาวออฟฟิศที่ค่อนข้างจะใส่ใจดูแลสุขภาพ มากกว่าย่านอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิที่เป็นแหล่งรวมของผู้คนทุกระดับ
จากการทำงานของเครือข่ายเด็กไทยไม่กินหวาน จนถึงปัจจุบันครบ 1 ทศวรรษ หรือ 10 ปีพอดี มีความก้าวหน้าไปตามลำดับ อาทิ ศูนย์เด็กเล็กอ่อนหวาน โครงการโรงเรียนปลอดน้ำอัดลมเป็นต้น จนเป็นแรงกระเพื่อมให้มีภาษีความหวานขึ้นเพื่อกระตุ้นเตือนคนไทยลดบริโภคลดหวาน รวมถึงการสั่งซื้อเครื่องดื่มผ่านแพลตฟอร์ม ที่มีไรเดอร์เป็นคนนำส่ง ทางเครือข่ายได้ทำงานกับแพลตฟอร์มให้มีตัวเลือกในเมนูให้เลือกหวานมากหวานน้อยด้วย
“ก้าวต่อไปในปีที่ 11 ของเครือข่าย ยังทำงานรณรงค์สร้างกระแสให้ผู้บริโภคสั่งเครื่องดื่มหวานน้อย ภายใต้สโลแกนที่ว่า หวานน้อยสั่งได้อย่างน้อยลดความหวานลง 25% และ 50% ของความหวานปกติ ทั้งนี้การแบ่งความหวาน 25% และ 50%เกิดจากประสบการณ์ของเครือข่าย โดยหมอทำงานลดน้ำหนักให้คนไข้ที่ต้องการลดน้ำหนัก แต่ติดกาแฟให้ทดลองดื่มเครื่องดื่มจนปริมาณลดความหวานลงได้ เนื่องจากในผู้ใหญ่ลิ้นรับรสชาติความหวานมานาน ถ้าให้เลิกกินหวาน โดยทันทีจะทำได้ยาก จึงต้องค่อยๆ ลดปริมาณความหวานลงในที่สุดจะลดการกินหวานได้
เชื่อได้ว่าเมื่อผู้คนเกิดความตระหนักในการดื่มเครื่องดื่มรสหวานน้อยลง จะทำให้คนที่มีภาวะน้ำหนักตัวเกินมีน้ำหนักตัวลดลง สำหรับคนที่ยังติดหวานอยู่และลดไม่ได้ ควรสั่งแก้วเล็ก ขณะนี้มีหลายร้านค้ามีขนาดแก้วของเครื่องดื่มให้เลือก แม้ว่าร้านค้าจะมีแคมเปญซื้อหนึ่งแถมหนึ่ง ก็ต้องตัดใจ เพราะส่วนที่แถมจะแถมโรคมาให้ด้วย” ทพญ.ปิยะดา กล่าว
อนึ่ง “ปัจจุบันมีการนำสารอื่นมาใช้ให้ความหวานทดแทนน้ำตาล” ซึ่ง ทพญ.ปิยะดา ให้ความเห็นว่า“ไม่แนะนำ” ให้ใช้สารดังกล่าว เนื่องจากการใช้สารอื่นก็เท่ากับยังเคยชิน “ติดหวาน” อยู่ โดยมีผลการศึกษาพบว่า การบริโภคสารทดแทนความหวาน ระดับการเกิดความอ้วนไม่ต่างกับการบริโภคน้ำตาล ที่สำคัญคือคนเราจะมีจุดรับรสทั่วร่างกาย เมื่อกินสารให้ความหวานร่างกายยังรับได้อยู่ว่ากินหวานเข้ามา แม้จะเป็นสารทดแทนความหวานก็ตาม
“สารทดแทนความหวานเอาไว้ช่วยให้สำหรับแรกๆ ของคนที่ยังไม่สามารถลดได้จริงๆ ในระยะหนึ่ง ถ้าเรายังสบายใจกับสารทดแทนความหวาน นั่นคือคุณเป็นมนุษย์ติดหวาน ไม่แน่ใจว่าในระยะยาวจะมีผลต่อร่างกายหรือไม่ แม้จะเคลมว่าเป็นสมุนไพรก็ตาม อย.มีการควบคุมปริมาณ หากทานมากไปอาจมีพิษต่อร่างกายเช่นเดียวกับคนที่รับประทานอาหารคาวแล้วต้องกินหวานแสดงว่าติดหวาน” ผู้จัดการเครือข่ายเด็กไทยไม่กินหวาน กล่าวทิ้งท้าย
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี