บันทึกถึงพี่น้องชาวยุโรป หลายครั้งที่ผ่านมา ได้แสดงถึงความห่วงใย ต่อพี่น้องชาวยุโรปตะวันตกเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งได้แก่ ฟินแลนด์ สวีเดน กลัวว่าบ้านเมืองอันสวยงามของท่านจะกลายเป็นเถ้าถ่านและพังพินาศไปเหมือนยูเครน
จากนั้นก็ยังแสดงความห่วงใยไปยัง พี่มาครง แห่งฝรั่งเศส พี่ชูลส์ แห่งเยอรมนี และพี่ดรากีแห่งอิตาลี ให้ลองเหลียวมองไปอีก 5 ทิศบ้าง คือซ้าย ขวา(หน้า)หลัง ทิศบน ทิศล่าง
อย่ามองไปข้างหน้าอย่างเดียว เพราะทิศข้างหน้า คือ ทิศแห่งสงครามแห่งการให้ Hard Power เข้าถล่มทลายกัน จนเราอาจจะไม่ได้เห็นความสวยงามของหอไอเฟล,ประตูชัย, ถนนชองเซลิเซ่, พระราชวังเครมลิน, พระราชวังเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก, พิคคาดิลลี เซอร์คัส, พระราชวังบักกิงแฮม และออกซฟอร์ดสตรีท อีกต่อไป หากมีสงครามนิวเคลียร์เกิดขึ้น
จากนั้น ก็พาท่านไปล่องเรือชมดินแดนอันสวยงามแห่งชายฝั่งรอบทะเลบอลติก ซึ่งได้แก่ เดนมาร์ค นอร์เวย์ เยอรมนี เอสโตเนีย ลัตเวีย ลิทัวเนีย ผ่านเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กของรัสเซียไปยังฟินแลนด์ และมาจบที่กรุงสต๊อกโฮมของสวีเดน โดยยังไม่ได้บรรยายถึงความสวยงามของเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก มอสโก และภูมิประเทศอันสวยสดงดงามเช่นเดียวกันของประเทศรัสเซีย ประเทศที่เริ่มต้นใช้ Hard Power หรืออำนาจแห่งการทำลายล้างมาใช้กับยูเครน ราวกับอยู่ในสมัยร้อยปีที่แล้วของศตวรรษที่ผ่านมาในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 1 (1914-1918) และสงครามโลกครั้งที่ 2 (1939-1945)
นครเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก ตั้งมา 300 ปีเศษแล้ว ตั้งแต่ปี ค.ศ.1703 นับเป็นเมืองที่สวยงามมากเมื่อเทียบกับนครต่างๆ บนฝั่งทะเลบอลติกด้วยกัน เป็นเมืองมรดกโลกที่คัดสรรแล้ว โดย UNESCO เป็นศูนย์กลางประวัติศาสตร์ที่สำคัญของสหภาพโซเวียตรัสเซีย (USSR) และของสหพันธรัฐรัสเซีย (Russian Federation) มีพิพิธภัณฑ์ศิลปะที่ใหญ่ที่สุดในโลกอยู่ในนครนี้ นั้นก็ คือ Hermitage นั่นเอง
การไปเยือน นครเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก นอกจากจะนั่งเรือสำราญล่องมาตามชายฝั่งทะเลบอลติกแล้ว ก็ยังอาจจะนั่งเครื่องบินมาจากมอสโก ปารีส ลอนดอน หรือแฟรงค์เฟิร์ตได้ทั้งนั้น รวมทั้งนั่งรถไฟไปกลับจากกรุงมอสโกด้วย แต่ที่น่าสนใจอีกเส้นทางหนึ่งก็คือ การนั่งเรือจากท่าเรือแม่น้ำแห่งกรุงมอสโก ล่องขึ้นเหนือและพักค้างคืนบนเรือ มาจนถึงท่าเรือแม่น้ำแห่งนครเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก
ก่อนเรือจะเคลื่อนจากท่าเรือแม่น้ำหรือจะถึงท่าจุดหมายปลายทาง ก็จะมีวงดนตรีมาบรรเลงอยู่ริมท่าเรือ เพื่อบำรุงขวัญผู้โดยสารทางเรือให้สดชื่นไปกับการล่องแม่น้ำทางไกล
เช่นเดียวกันหากจะล่องแม่น้ำมอสควา ลงมาทางตะวันตกเฉียงใต้ของรัสเซียจนถึงเมืองVolgogard หรือ สตาลินกราดในอดีต เป็นเวลา 3 วัน 3 คืน ก็จะผ่านทัศนียภาพอันงดงามของระบบการขนส่งทางน้ำของรัสเซียซึ่งมองการณ์ไกลจัดให้เรือขนาด 5,000 ตัน ไม่ว่าจะเป็นเรือสินค้าหรือเรือรบสามารถวิ่งส่งสินค้า เครื่องอุปโภค-บริโภค ทหารและอาวุธยุทโธปกรณ์ถึงกันได้ จากภาคตะวันตกสู่ภาคตะวันออก โดยผ่านประตูยกระดับน้ำจำนวนมาก จากภาคเหนือทะเล Barents Sea แถบขั้วโลกเหนือลงมา ทะเลดำและทะเลแคสเปียน (Caspian) ทางภาคใต้โดยไม่ยาก
ซึ่งระหว่างทางก็จะมีเขื่อนและอ่างเก็บน้ำ เพื่อการป้องกันภัยแล้ง ป้องกันน้ำท่วม เพื่อการประมงและเพื่อการท่องเที่ยวพร้อมกันไปในตัวแบบเบ็ดเสร็จ เสียดายที่การเมืองไทยไม่นิ่ง จึงยังไม่มีรัฐบาลใด ได้ไปดูแบบอย่างของประเทศต่างๆ ในยุโรป ที่เขาทำเช่นนี้มาหลายร้อยปีแล้ว ของเรามีแต่การจ้องล้มรัฐบาล เพื่อชิงอำนาจกัน คอคอดกระ ไม่กี่กิโลเมตร จึงยังไม่ได้ทำสักที รวมทั้งการเชื่อมโยงทางน้ำระหว่างแม่น้ำเจ้าพระยา แม่น้ำชี แม่น้ำมูล และแก้มลิง ป้องกันภัยแล้ง ป้องกันน้ำท่วมทั่วประเทศ ที่เชื่อมโยงกัน จึงยังไม่เกิดขึ้น
อย่างไรก็ดี ไหนๆ มาแวะชมรัสเซียแล้ว สิ่งที่ขาดไม่ได้ก็คือการชมกรุงมอสโก นครหลวงของประเทศรัสเซียปัจจุบันซึ่งเป็นนครที่มีประชากรมากที่สุดในยุโรปเกือบ 20 ล้านคน และมีสถานที่สวยงามให้ชมมากมาย เช่น จัตุรัสแดง, พระราชวังเครมลิน, พระมหาวิหารนักบุญเบซิล, ระบบรถไฟใต้ดินที่สวยงามที่สุดในยุโรป เป็นต้น สมัยเป็น USSR ก็จะต้องสั่งอาหารมีชื่อของสหภาพโซเวียตมาทาน อันได้แก่ Chicken à la kiev (หรือไก่อบแบบกรุงเคียฟของยูเครน) มาทาน หากหั่นไม่ระวัง เนยร้อนๆ ก็จะโดดเข้าใส่หน้าท่านหรือ เสื้อนอกของท่านทันที
การจะมาเยือนรัสเซีย ประเทศที่สวยงามและมีอำนาจมากที่สุดประเทศหนึ่งของโลกจากคนในเอเชีย นอกจากจะมาทางเครื่องบิน ทางเรือสำราญทะเลและทางแม่น้ำแล้ว ยังมาได้ทางรถไฟสายทรานส์ไซบีเรียอีกทางหนึ่ง โดยเริ่มต้นที่เมืองวลาดิวอสตอค ซึ่งอยู่ตะวันออกสุดของทวีปเอเชีย ไม่ไกลจากจีนและเกาหลีเหนือนักหรืออาจจะขึ้นรถไฟจากปักกิ่งมายังฮาร์บิน แล้วเข้าไปเชื่อมต่อรถไฟสายทรานส์ไซบีเรียก็จะสามารถเดินทาง นั่งกิน นอนหลับ ชม 2 ฝั่งทางรถไฟ มาจนถึงกรุงมอสโก หรือนครเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กได้เช่นกัน
นอกเหนือจากการเป็นประเทศที่ใหญ่โต มีประวัติศาสตร์อันยาวนานแล้ว ยังมีวัฒนธรรมศิลปกรรม นวัตกรรม อีกมากมายที่นับเป็น Soft Power อันยิ่งใหญ่ของรัสเซีย รวมทั้งการมีผลิตภัณฑ์อุปโภค-บริโภคป้อนชาวยุโรปและชาวโลกอีกจำนวนมาก ได้แก่ ข้าวสาลี น้ำมันบริโภค พลังงานน้ำมัน แก๊ส จึงเป็นสิ่งที่น่าคิด ว่าพี่ปูไม่ได้คิดใช้ Soft Power ในการแก้ปัญหายูเครน ซึ่งขณะนี้ได้กลายเป็นปัญหาของโลกไปแล้ว
โลกกำลังเผชิญกับภาวะการขาดแคลนอาหาร ขาดแคลนพลังงาน ภาวะเงินเฟ้อ ผู้คนกำลังจะอดตายและลำบากกันทั่วโลก เพราะพี่ปูเห็นว่าลุงโจมาทาง Hard Power ก็เลยใช้Hard Power ตอบโต้ไป ผู้คนทั้งโลกจึงกำลังเดือดร้อนและจะเดือดร้อนมากขึ้นเรื่อยๆ
หากพี่ปู หันมาใช้ Soft Power ที่พี่ปูมีอยู่เหลือเฟือ มาใช้ให้เป็นประโยชน์กับประเทศสมาชิก NATO โดยเชิญเขาเข้ามาเป็นสมาชิกสนธิสัญญาสันติภาพและการพัฒนายุโรป หรือ อีกองค์การหนึ่งกับเอเชียอาคเนย์ก็ได้ ให้อภิสิทธิ์ในการซื้อ-ขายข้าวสาลี น้ำมันดอกทานตะวัน แก๊ส น้ำมัน ในราคาที่ดีกว่าการซื้อจากลุงโจ แล้วมีเงื่อนไขในสนธิสัญญาว่าจะไม่รุกรานซึ่งกันและกัน
โดยใช้กำลังแต่จะใช้หลักกฎหมายระหว่างประเทศและศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ ประเทศเหล่านั้นก็คงจะเลิกคบลุงโจ ซึ่งการใช้เงินซื้ออาวุธจาก ลุงโจ เอาเงินมาซื้อข้าวสาร ถ่าน ไฟ จากพี่ปูแล้วเอามาพัฒนายุโรป หรือทวีปของตนให้สงบสุข มีสันติภาพและรุ่งเรืองก้าวหน้าต่อไปก็น่าจะได้ผลดีกว่า
เดี๋ยวนี้สนธิสัญญามีมากมาย สลับทับซ้อนกันไม่ว่าจะเป็น Indo Pacific Economic Framework (IPEF) หรือ BRICS หรือ AUKUS หรืออะไรต่อมิอะไร เข้าไปอันไหนได้ประโยชน์ด้านกินดีอยู่ดีและความมีสันติสุขของพลเมืองของตน ประเทศต่างๆ ก็น่าจะอยากเข้าไปอยู่ด้วยมากกว่าที่จะเข้าไปเพื่อจ่ายเงินซื้อปืน จรวด และอาวุธจากพี่โจ แล้วเอามาทำลายล้างซึ่งกันและกัน ลองคิดดูนะพี่ปู ยังไม่สายไปดอกนะ
ขณะนี้พี่โจกำลังเรียกประชุมเพื่อนบ้านที่อยู่ในทวีปเดียวกัน มีมาประชุมกันมากมายตั้งแต่แคนาดา, เม็กซิโก, บราซิล, ชิลี, อาร์เจนตินา ฯลฯ เพื่อหาทางพัฒนาไปด้วยกันก็เหมือนกับหัวหน้าหมู่บ้านในเอเชียไม่ว่าจะเป็นกำปงหรือหมู่บ้านจัดสรร ก็ต้องมีการพบปะหารือกันพัฒนาหมู่บ้านที่ตนอยู่ ให้รั้วรอบขอบชิดไม่มีขโมย ไม่มีน้ำท่วม น้ำไหล ไฟสว่าง ทุกคนในหมู่บ้านก็จะอยู่กันอย่างสงบสุข แต่พี่ปูไม่ใช้ไม้นวมกับลูกบ้านเดียวกันเสียเลย เอะอะก็เอาแต่ Hard Power เข้าหากัน จึงเปิดโอกาสให้พี่โจเข้ามาเป็นหัวเรือใหญ่ในหมู่บ้านยุโรปของพี่ปู เขาก็ถือโอกาสขายอาวุธเอากำไรท่าเดียว ส่วนหมู่บ้านจะแย่อย่างไรฉันไม่เกี่ยว ฉันอยู่ไกลกระสุนปืนใหญ่ หรือกระสุนรถถังไปไม่ถึง (ยกเว้นอาวุธปรมาณูอย่างเดียว)
ถ้าพี่ปูลองคิดถึง Theory of Subcontination ให้ดี แล้วพี่ปูจะได้คิดว่า การอยู่อย่างสันติกับคนในหมู่บ้านเดียวกันนั้นมันแสนจะนอนตาหลับ หลักโลกาภิวัตน์ (globolization) นั้น สลายไปจากโลกแล้วโดยพี่โคแนลด์
แล้วพี่โจ ก็มาทำลายต่อโดยทำสงครามการค้ากับพี่สี ตอนนี้ ประเทศทุกย่านในโลกควรจะไปสู่ Theory of Sub-contination กันได้แล้ว ให้พี่โจอยู่สบายกับพรรคพวกในทวีปอเมริกา
พี่ปูก็อยู่สบายกับพรรคพวกในยุโรป ดูแลกันโดยใช้หลักเมตตาธรรม หลักการพรหมวิหารสี่ (Four sublime
states of mind) พี่สีก็อยู่สบายกับเพื่อนบ้าน เช่น มองโกเลีย พม่า เขมร ญวน ลาว ส่วนพี่ยุ่นจะตั้งอีกหมู่บ้านหนึ่งกับเกาหลีใต้ ฟิลิปปินส์ ก็ไม่มีใครห้ามอยู่แล้ว
พี่ๆ ทั้งหลายลองเอาไปคิดดูก็แล้วกัน แล้วโลกเราก็จะน่าอยู่ขึ้นอีกมาก
หากไม่เข้าไปหักหาญทำลายล้างกันด้วย Hard Power หรือด้วยอาวุธปรมาณู
ศิริภูมิ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี