“10-11 ล้านคน” เป็นจำนวนของ “แรงงานภาคเกษตร” ซึ่งคิดเป็นกว่า 1 ใน 4 ของแรงงานทั้งหมดในประเทศไทย ประมาณ 37-38 ล้านคน จึงสรุปได้ว่าภาคเกษตรไทยมีขนาดใหญ่มาก และภาครัฐต้องให้ความสำคัญ แม้จะมีผลิตภัณฑ์มวลรวม (GDP) ไม่เท่ากับภาคอุตสาหกรรมหรือภาคบริการและการท่องเที่ยว แต่ก็ยังสร้างรายได้ผ่านการส่งออก และรับประกันความมั่นคงทางอาหารภายในประเทศ
อย่างไรก็ตาม เมื่อกล่าวถึงนโยบายส่งเสริมภาคเกษตร หนึ่งในประเด็นที่เป็น “วิวาทะ” หรือข้อถกเถียงเสมอว่าคือ “เคมีหรืออินทรีย์” เกษตรเคมีนั้นข้อดีคือให้ผลผลิตได้มาก แต่มีข้อกังวลคือสารเคมีตกค้าง ถึงขั้นที่มีการเฝ้าระวังและห้ามใช้สารบางชนิดเกิดขึ้นเป็นระยะๆ ส่วนเกษตรอินทรีย์นั้นข้อดีคือไม่ต้องกังวลเรื่องสารเคมีตกค้าง แต่มีข้อจำกัดเรื่องปริมาณผลผลิตที่ได้อาจไม่เพียงพอเลี้ยงประชากรจำนวนมากทั้งในประเทศและระดับโลก
ในงานเสวนา “เคมี พระเอกหรือผู้ร้าย ครั้งที่ 3” หัวข้อ “อินทรีย์-เคมี โอกาสของไทย ภายใต้วิกฤตอาหารโลก” ซึ่งจัดขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้ โดยความร่วมมือระหว่างกลุ่มอุตสาหกรรมเคมี สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) สมาคมวิทยาการวัชพืชแห่งประเทศไทย และสมาคมการค้าปุ๋ยและธุรกิจการเกษตร จรรยา มณีโชติ นายกสมาคมวิทยาการวัชพืชแห่งประเทศไทย และอดีตผู้เชี่ยวชาญด้านวัชพืช สำนักวิจัยพัฒนาการอารักขาพืช กรมวิชาการเกษตร อ้างถึงผลการศึกษาเรื่อง “Why organic farming is not the way forward” ที่เผยแพร่ในปี 2562
งานวิจัยชิ้นนี้จัดทำโดย โฮลเกอร์ เคิร์ชมานน์ (Holger Kirchmann) ผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการของพืชและความอุดมสมบูรณ์ของดิน มหาวิทยาลัยวิทยาศาสตร์การเกษตรแห่งสวีเดน (Swedish University of Agricultural Sciences) ระบุว่า “ผลผลิตที่ได้จากเกษตรอินทรีย์ต่ำกว่าเกษตรเคมีเฉลี่ยร้อยละ 35 และหากต้องการทำเกษตรอินทรีย์ให้ได้ปริมาณผลผลิตเทียบเท่าเกษตรเคมีต้องเพิ่มพื้นที่อีกร้อยละ 50” คำถามคือแล้วจะหาพื้นที่เพิ่มได้จริงหรือ
ด้านเกษตรกรที่ช่วงหลังๆ ผันตัวมาเป็นผู้ประกอบการด้วยอย่าง สุรวุฒิ ศรีนาม กรรมการบริษัท เรียลฟาร์ม จำกัด กล่าวถึงความยากของการทำเกษตรอินทรีย์เพื่อการส่งออก เช่น หากเป็นตลาดในทวีปยุโรป นอกจากจะมีเกณฑ์เรื่องการผลิตในระบบอินทรีย์แล้ว ยังต้องดูไม่ให้มีหนอนหรือแมลงติดจากประเทศต้นทางไปยังประเทศปลายทางด้วย อีกทั้งยังมีข้อจำกัดจากปริมาณผลผลิตที่ได้ไม่สม่ำเสมอ ซึ่งไม่ตอบโจทย์การผลิตแบบอุตสาหกรรม
ทั้งนี้ เมื่อดูในภาคการส่งออกไม่ว่าตลาดทวีปยุโรปหรือประเทศญี่ปุ่น พบว่า ลูกค้าไม่ได้สนใจว่าจะต้องเป็นเกษตรอินทรีย์หรือไม่ แต่ดูจาก 3 ข้อคือ 1.ได้มาตรฐานที่กำหนดหรือไม่ 2.มีปริมาณเพียงพอและต่อเนื่องเพียงใด และ 3.ราคาแข่งขันได้หรือไม่ จึงหันมาส่งเสริม “เกษตรปลอดภัย (GAP)” อนึ่ง เคยมีลูกค้าชาวญี่ปุ่นตั้งคำถามว่า “ทำไมเมืองไทยเกษตรอินทรีย์กับเคมีต้องขัดแย้งกัน” เพราะที่ญี่ปุ่นไม่มีเรื่องแบบนี้ใครจะทำเกษตรอินทรีย์หรือเคมีก็เลือกทำได้ตามวิถีของตน โดยยึดความปลอดภัยเป็นที่ตั้ง เช่น หากใช้สารเคมีก็ต้องมีสารตกค้างไม่เกินเกณฑ์ที่กำหนด
จากภาควิชาการและภาคผู้ผลิตสู่มุมมองของฝ่ายการเมือง สฤษฏ์พงษ์ เกี่ยวข้อง สส. จังหวัดกระบี่ พรรคภูมิใจไทย กล่าวว่า ปัจจุบันเครื่องยนต์เศรษฐกิจในการหาเงินเข้าประเทศอยู่ในระหว่างทั้งการสร้างเครื่องยนต์ใหม่และซ่อมแซมเครื่องยนต์เดิมที่มีแต่ปรับปรุงให้มีแรงม้าเพิ่มขึ้นดังนั้นความเข้าใจกัน ไม่ขัดแย้งกันระหว่างเกษตรอินทรีย์และเคมีจึงเป็นสิ่งที่ดี โดยมีภาครัฐสนับสนุนเรื่องเกณฑ์มาตรฐานต่างๆ ซึ่งไม่ใช่การลดคุณภาพของผลผลิต แต่เป็นการลดขั้นตอนเพื่อให้ผู้มีความพร้อมเข้าถึงได้ง่ายขึ้น
ขณะเดียวกัน “รัฐต้องมีบทบาทในการให้ความรู้กับเกษตรกรมากขึ้น” เช่น โดยทั่วไปเมื่อเกษตรกรจะไปซื้อปุ๋ยมาใช้ มักจะซื้อตามการโฆษณาของตัวแทนจำหน่าย ซึ่งจริงๆ แล้วรัฐควรช่วยให้เกษตรกรแต่ละรายรู้ว่าที่ดินของตนเองมีแร่ธาตุพื้นฐาน (N-P-K) เป็นต้นทุนอยู่เท่าใด เพื่อให้เกษตรกรเลือกใช้ปุ๋ยได้เหมาะสม แต่ปัจจุบันหน่วยบริการรับตรวจคุณภาพดินยังมีน้อยโดยยกตัวอย่าง “ปาล์มน้ำมัน” ที่ประเทศเพื่อนบ้านอย่างมาเลเซียภาครัฐสนับสนุนด้านการเข้าถึงความรู้กับเกษตรกรมาก หากต้องแข่งขันแล้วก็ยากที่ปาล์มน้ำมันจากไทยจะสู้ได้
เดชรัต สุขกำเนิด ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยนโยบายเพื่ออนาคต (Think Forward Center) พรรคก้าวไกล กล่าวถึงการจัดงบประมาณ ว่า หากดูงบประมาณของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ประมาณ 1 แสนกว่าล้านบาท พบว่า
7 หมื่นล้านถูกใช้เป็นงบด้านชลประทาน 2 หมื่นล้านบาท เป็นเงินเดือนบุคลากร และอีก 1 หมื่นล้านบาท เป็นงบแผนงาน
พื้นฐานทั่วไป จึงอยากชวนคิดว่าจะทำอย่างไรให้งบวิจัยและพัฒนาเพื่อยกระดับคุณภาพผลผลิต การแปรรูป ตลอดจนจัดหาตลาด ที่ปัจจุบันเหลือเพียงน้อยนิดให้เพิ่มมากขึ้น
อลงกรณ์ พลบุตร รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ให้ความเห็นว่า ปัจจุบันภาคเกษตรกำลังเผชิญปัญหาใหญ่คือการขาดแคลนแรงงาน เนื่องจากแรงงานในภาคเกษตรส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุ โดยอายุเฉลี่ยของเกษตรกรไทยอยู่ที่ 59 ปี ทำให้ต้องมีการตั้งศูนย์เทคโนโลยีเกษตรและนวัตกรรมขึ้นทุกจังหวัด ดูแลทั้งเกษตรเคมีและเกษตรอินทรีย์ในจังหวัด โดยเป็นเกษตรปลอดภัยอย่างยั่งยืน
นอกจากนั้นยังต้องออกแบบนโยบายให้เหมาะสมกับเกษตรกรแต่ละกลุ่ม ตั้งแต่เกษตรกรรายย่อย เกษตรพาณิชย์ เกษตรอุตสาหกรรม และเกษตรส่งออก ซึ่ง 2 กลุ่มหลังนี้เองที่เกษตรเคมียังจำเป็น แต่ก็ต้องเป็นเกษตรปลอดภัยตามมาตรฐานโลก ส่วนเกษตรกรรายย่อยจะเป็นการส่งเสริมเกษตรอินทรีย์ และส่งเสริมเกษตรอินทรีย์เคมีสำหรับกลุ่มเกษตรพาณิชย์ ทั้งนี้ ย้ำว่า“ควรหยุดทะเลาะและแบ่งแยกกันระหว่างเกษตรอินทรีย์และเกษตรเคมี เพราะประเทศเดินหน้าไม่ได้” โดยหากมีวงเสวนาครั้งต่อไป อยากให้ทั้ง 2 กลุ่มมาร่วมในเวทีเดียวกัน
สกุณา สาระนันท์ สส. จังหวัดสกลนคร พรรคเพื่อไทย ตั้งข้อสังเกตว่า ในฝั่งเกษตรเคมีจะพบงานวิจัยที่ไปไกลมาก จึงอยากเสนอแนะให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สนับสนุนงบประมาณเพื่อทำงานวิจัยในฝั่งของเกษตรอินทรี และเกษตรปลอดภัยให้มากขึ้น ขณะเดียวกัน หากจะให้ประเทศไทยเป็น “ครัวโลก” ซึ่งเป็นทางออกของอุตสาหกรรมอาหารและทางรอดของเกษตรกร “การปรับปรุงกฎระเบียบให้เกื้อหนุน” ก็จำเป็น เช่น การขึ้นทะเบียนพืช Positive List กับ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ยังมีน้อย ทั้งที่ไทยมีความหลากหลายทางชีวภาพมาก ซึ่ง อย. ยังมีกฎระเบียบที่ซับซ้อนและมีค่าใช้จ่ายสูง
หมายเหตุ : มาตรฐานเกษตรปลอดภัย (GAP หรือ Good Agriculture Practices) แตกต่างจากเกษตรอินทรีย์ (Organic Agricultural) กล่าวคือ เกษตรอินทรีย์จะไม่ใช้สารเคมีโดยเด็ดขาด ในขณะที่มาตรฐาน GAP ยังใช้สารเคมีได้ในปริมาณที่ถูกต้องเพื่อที่แม้จะพบสารตกค้างแต่ยังอยู่ในระดับที่ปลอดภัยต่อผู้บริโภค (จากบทความ “เข้าใจใหม่ เกษตรอินทรีย์ & GAP” โดย สำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรเเละอาหารเเห่งชาติ วันที่ 28 ธ.ค. 2563)
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี