กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) เป็นองค์กรที่มีประสบการณ์การทำงานต่อเนื่องเรื่องการจัดการศึกษาเชิงพื้นที่ด้วยกลไกพัฒนาจังหวัด สร้างแนวร่วมบูรณาการทรัพยากรในพื้นที่ให้เพียงพอกับการทำงานที่ยั่งยืน ร่วมกับ 20 จังหวัดนำร่อง ในการขจัดปัญหาความยากจนและลดความเหลื่อมล้ำในสังคม จนเกิด “ตัวแบบ”การช่วยเหลือดูแลเด็กและเยาวชนด้อยโอกาสในระดับจังหวัด โดยปี 2565 กสศ. ได้ขยายผลการจัดการศึกษาเชิงพื้นที่ไปยังพื้นที่อื่นๆ เพื่อสร้างตัวแบบความสำเร็จและนวัตกรรมการจัดการการศึกษาเพื่อลดความเหลื่อมล้ำระดับพื้นที่ต่อไป
ดร.กฤษณพงศ์ กีรติกร ประธานอนุกรรมการจัดการศึกษาเชิงพื้นที่เพื่อลดความเหลื่อมล้ำ กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) กล่าวถึงแนวคิดการศึกษาเชิงพื้นที่เพื่อลดความเหลื่อมล้ำ ว่า ที่ผ่านมาประเทศไทยจะตระหนักและมีนโยบายลดความเหลื่อมล้ำมาหลายสิบปี ทำให้คนส่วนใหญ่รายได้ดีขึ้นแต่จากสถานการณ์ปัญหาต่างๆ ภายในประเทศโดยเฉพาะการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ทำให้จำนวนคนจนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
“ท่ามกลางสถานการณ์ที่เด็กเกิดน้อยแต่กลับมีจำนวนเด็กที่ไม่ได้รับการศึกษาภาคบังคับ (9 ปีแรก) มีสัดส่วนมากขึ้น ประกอบกับความขัดสนของครอบครัวทำให้เด็กเหล่านี้หลุดออกจากระบบที่ผ่านมาหน่วยงานภาครัฐมองเห็นแต่เด็กที่อยู่ในที่สว่างหรือเด็กในระบบการศึกษา แต่เด็กในมุมมืดที่อยู่นอกระบบได้รับความสนใจน้อย จึงจำเป็นต้องช่วยกันค้นหาเด็กเหล่านี้ ที่คาดว่าน่าจะมีราว 1 ล้านคน ที่เป็นพ่อแม่วัยใส เด็กที่ออกจากสถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน และเด็กที่มีปัญหาครอบครัว เพราะหากเราไม่ช่วยเหลือเด็กกลุ่มนี้ก็จะเกิดการส่งต่อความยากจนแบบข้ามรุ่น” ดร.กฤษณพงศ์ ระบุ
ดร.กฤษณพงศ์ กล่าวต่อไปว่า กสศ. อยากเห็นทุกภาคส่วนช่วยกันพัฒนาการคุณภาพศึกษา รวมถึงพัฒนาทักษะอื่น ไม่เฉพาะเด็กที่ยากจนแต่อยากให้มองในภาพรวม และ “ต้องการให้รัฐสนับสนุนทรัพยากรทั้งบุคคลและงบประมาณที่จำเป็นกระจายไปยังหน่วยงานท้องถิ่นให้มากขึ้น” นอกจากนี้ “องค์การบริหารส่วนจังหวัด หรือเทศบาล ต้องลุกขึ้นมามีบทบาทรับผิดชอบในการจัดการศึกษา” ให้มีคุณภาพและครอบคลุมเด็กและเยาวชนทั้งที่อยู่ในที่สว่างและเด็กที่อยู่ตามมุมมืดในพื้นที่
อีกทั้งต้องให้ความสำคัญเรื่องแหล่งเรียนรู้รอบโรงเรียน การเข้าถึงแหล่งเรียนรู้ออนไลน์ และต้องมีระบบเฝ้าระวังที่เข้มข้นมากขึ้น เพราะแหล่งมั่วสุมของเด็กเยาวชนมีจำนวนมากขึ้นและมีความซับซ้อนมากขึ้น หากจังหวัดทำได้ก็จะช่วยให้เด็กกลับเข้าสู่ระบบการศึกษามากขึ้น ซึ่งโครงการจัดการศึกษาเชิงพื้นที่เพื่อลดความเหลื่อมล้ำปี 2565 เป็นงานที่ทุกภาคส่วน จังหวัดในฐานะเจ้าของพื้นที่ต้องร่วมมือกันทำงาน ไม่เว้นแม้แต่พ่อแม่ของเด็ก
โดยกลไกในพื้นที่ที่อยากเห็นคือ “การร่วมกันสะท้อนว่าปัญหาอยู่ที่ไหน-กลุ่มเป้าหมายอยู่ที่ใด” ต้องมีการวิเคราะห์วางแผนการจัดการปัญหาร่วมกัน แล้วรวบรวมทรัพยากรเพื่อใช้แก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ อยากเห็นต้นแบบการจัดการที่มีทั้งภาคธุรกิจ ภาครัฐ ภาคประชาสังคม ทำงานร่วมกัน และหวังว่าจะเห็นการรณรงค์ให้เกิดการนำต้นแบบไปทดลองขยายผล อย่างน้อยเริ่มจากจังหวัดของเราก่อนให้รับทราบรับรู้ และอยากเห็นการทำงานเชิงพื้นที่สามารถจะส่งข้อมูลผ่านหน่วยงานเจ้าของเรื่อง
“ผมมองว่าขณะนี้คณะกรรมการศึกษาธิการจังหวัด (กศจ.) มีข้อมูลเฉพาะเด็กในระบบ แต่ไม่มีข้อมูลเด็กนอกระบบ ผมหวังว่าโครงการนี้จะเป็นฐานข้อมูลเชิงยุทธศาสตร์สำคัญที่กศจ.สามารถนำเอาไปใช้อุดช่องโหว่ของการศึกษาและการพัฒนาคนและแก้ไขปัญหา ในท้ายที่สุดผมเชื่อว่า เราจะได้ต้นแบบการขับเคลื่อนประเทศไทยเพื่อแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำที่เป็นความร่วมมือของประชาชนเจ้าของพื้นที่ ลุกขึ้นมาจัดการชีวิตของพวกเราเอง
เพราะเราพบว่าปัจจัยความสำเร็จของการทำงานเชิงพื้นที่ทั่วโลกก็คือ พื้นที่ต้องเข้ามามีส่วนร่วมมากขึ้น ในขณะที่พื้นที่การทำงานมีขนาดเล็กลง การระดมทรัพยากรทั้งที่เป็นเงินและไม่ใช่เงิน มีมากขึ้นคือปัจจัยสำคัญที่นำไปสู่การแก้ไขปัญหาได้สำเร็จ” ดร.กฤษณพงศ์ กล่าว
ด้าน พัฒนะพงษ์ สุขมะดัน ผู้ช่วยผู้จัดการ กสศ. กล่าวเสริมว่า กสศ. มีโปรแกรมการช่วยเหลือเด็กและเยาวชนทั้งในระบบและนอกระบบหลายกลุ่ม อาทิ 1.กลุ่มเด็กและเยาวชนนอกระบบ (6-17 ปี) ผ่ านโครงการจัดการศึกษาเชิงพื้นที่เพื่อความเสมอภาคทางการศึกษาและโครงการสนับสนุนการพัฒนาครูและเด็กนอกระบบการศึกษา 2.กลุ่มเยาวชน (15-17 ปี) ผ่านทุนนวัตกรรมสายอาชีพชั้นสูง, ทุนพระกนิษฐาสัมมาชีพ, ทุนครูรัก(ษ์)ถิ่น
3.กลุ่มประชากรวัยแรงงาน (18 ปีขึ้นไป) ผ่านโครงการส่งเสริมโอกาสทางการเรียนรู้และพัฒนาทักษะเยาวชนและแรงงานนอกระบบ 4.กลุ่มโรงเรียนขนาดเล็กและขนาดกลาง ผ่านโครงการพัฒนาครูและโรงเรียนเพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษา (โรงเรียนพัฒนาตนเอง : TSQP) จำนวน 1,530 แห่ง 5.กลุ่มครูในและนอกระบบการศึกษา ผ่านโครงการพัฒนาครูและโรงเรียนเพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษา (โรงเรียนพัฒนาตนเอง : TSQP) และโครงการสนับสนุนการพัฒนาครูและเด็กนอกระบบการศึกษากว่า 25,000 คน
“แม้ว่าทั้งหมดจะเป็นบทบาทการทำงานของ กสศ.แต่หากมองในระยะไกลด้วยทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัด กสศ.อาจจะต้องลดบทบาทและหนุนให้เกิดกลไกการทำงานระดับพื้นเพื่อให้เกิดการส่งต่อความช่วยเหลืออย่างต่อเนื่อง จึงเป็นที่มาของการชวนจังหวัดเข้ามาดำเนินโครงการนี้ร่วมกัน เพื่อให้เกิดการช่วยเหลือเด็กและเยาวชนแบบตลอดรอดฝั่ง” พัฒนะพงษ์ กล่าว
พัฒนะพงษ์ กล่าวอีกว่า งบประมาณของ กสศ. มีน้อยไม่นานก็จะหมดไป แต่งบประมาณในพื้นที่มีเพียงพอที่จะดูแลเด็กเยาวชนได้เอง โดยจังหวัดจะต้องมีการจัดทำแผนร่วมกันของภาครัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ภาคประชาสังคม ภาคเอกชน ทำให้เกิดการแชร์ข้อมูลตรงกลาง ที่สำคัญแผนจะเกิดไม่ได้หากทุกฝ่ายยังทำงานบนโต๊ะประชุมที่มีคนเพียงหยิบมือ จึงคิดว่าคนที่อยู่ในจังหวัดจำเป็นต้องรู้เรื่องราวเหล่านี้ร่วมกัน ซึ่งจะเป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างการรับรู้และการมีส่วนร่วมแก้ไขปัญหาในวงกว้าง
ทั้งนี้ แนวทางในการดำเนินงานภายใต้โครงการจะเน้นระบบการจัดการเชิงพื้นที่ 5 ด้านได้แก่ 1.การพัฒนากลไกการจัดการในพื้นที่ 2.การพัฒนาระบบสารสนเทศเพื่อดูแลเด็กและเยาวชนที่ด้อยโอกาส 3.การทำแผนบูรณาการจัดการศึกษาเชิงพื้นที่ 4.การรณรงค์ขับเคลื่อน และ 5.การพัฒนานวัตกรรมและตัวแบบสร้างโอกาสทางการศึกษา ซึ่ง กสศ.เชื่อมั่นว่า ในท้ายที่สุดจังหวัดจะจัดการศึกษาเชิงพื้นที่ได้ด้วยตนเอง!!!
กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.)
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี