“การตัดคะแนนความประพฤติมันทำงานอย่างไร?ในโลกนี้การควบคุมการจราจรให้เคารพกฎหมาย เนื่องจากทุกคนก็จะบอกว่ามันเป็น พ.ร.บ.จราจรทางบก มันจะอะไรนักหนา? จะลงโทษอะไรรุนแรง เพราะฉะนั้นความผิดคดีจราจรจึงมีแค่โทษปรับ แต่ปัญหาที่มันเกิดขึ้นในประเทศไทย คือความแตกต่างในระดับชั้น คือมีคนรวยกับคนจนห่างกันค่อนข้างเยอะ เพราะฉะนั้นการใช้คะแนนมันจะดีกว่าการใช้ค่าปรับ
สมมุติว่าวันนี้ทำผิดกฎจราจรเสียค่าปรับ 1,000 บาท คนรวยจ่ายเงินแล้วก็ทำผิดต่อ เพราะสำหรับเขาเงิน 1,000 บาท มีค่านิดเดียว แต่ขณะเดียวกัน พี่น้องประชาชนที่อยู่ในชนบท จ่ายค่าปรับ 500 บาท เขาก็ร้องไห้เจียนตายแล้ว ไม่ต้องไปพูดถึง 1,000 บาท มันก็เลยทำให้หลักนิติรัฐ หรือมาตรฐานกระบวนการยุติธรรมไม่สามารถบังคับคนได้เท่าเทียมกัน”
พล.ต.ต.เอกรักษ์ ลิ้มสังกาศ รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 6 ในฐานะคณะทำงานแก้ปัญหาจราจรสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) กล่าวในการบรรยาย (ออนไลน์) หัวข้อ “ตัดคะแนน ตัดใจ!” จัดโดยแผนงานสนับสนุนการป้องกันอุบัติเหตุจราจรระดับจังหวัด (สอจร.) เมื่อช่วงสุดสัปดาห์สุดท้ายของเดือน ก.ค. 2565 ที่ผ่านมา ซึ่งเหลือเวลาอีกไม่นานก็จะถึงวันที่ 5 ก.ย. 2565 ที่ พ.ร.บ.จราจรทางบก (ฉบับที่ 13) พ.ศ.2565 มีผลบังคับใช้ โดยกฎหมายดังกล่าวมีสาระสำคัญประการหนึ่งคือ การนำ “ระบบตัดคะแนนความประพฤติ” มาใช้อย่างจริงจัง
พล.ต.ต.เอกรักษ์ เล่าว่า การตัดคะแนนความประพฤติผู้ทำผิดกฎจราจรเป็นมาตรการที่มีมานานแล้ว โดยอยู่ในกฎหมาย พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 แต่ในอดีตมีข้อจำกัดเรื่องฐานข้อมูล ทำให้ไม่สามารถบังคับใช้ได้ กระทั่งในปี 2558 ที่ได้มาอยู่ในคณะทำงานแก้ปัญหาจราจร พบว่า “ลำพังการออกใบสั่งและเสียค่าปรับไม่สามารถแก้ไขปัญหาผู้ใช้รถใช้ถนนไม่เคารพกฎหมายได้” จึงไปดูตัวอย่างจากหลายประเทศเห็นว่า การตัดคะแนนความประพฤติเป็นมาตรการที่ได้ผล อาทิ ประเทศจีนที่หลังจากบังคับใช้ไปได้ไม่นาน สามารถลดอุบัติเหตุได้เกือบร้อยละ 30
“พอเป็นระบบตัดคะแนนความประพฤติ ทุกคนที่เป็นผู้ขับขี่และมีใบอนุญาตขับรถยนต์หรือขับขี่รถจักรยานยนต์ จะมีคนละ 12 คะแนนเท่ากัน ฉะนั้นทุกครั้งที่กระทำความผิดแล้วเสียคะแนนไป จะรวยจะจนถูกลงโทษเท่ากัน ฉะนั้นถ้าเกิดนาย ก. เป็นเศรษฐีหมื่นล้าน มีเงินพร้อมจะเสียค่าปรับมากมาย พอพฤติกรรมหรือวินัยในการขับรถไม่ดี นาย ก. คะแนนหมดก็ขับรถไม่ได้ ต้องให้คนอื่นขับแทนเป็นเวลา 90 วัน อย่างนี้มันตอบสังคมได้ว่าคนไทยทุกคนได้รับการดูแลคุ้มครองและบังคับเท่าเทียมกัน” พล.ต.ต.เอกรักษ์ ระบุ
สำหรับ 12 คะแนนที่ผู้ขับขี่แต่ละคนมีอยู่ จะถูกตัดมาก-น้อย ตามความรุนแรงของพฤติกรรมที่ทำแล้วจะเป็นอันตรายต่อผู้ใช้รถใช้ถนนคนอื่นๆไล่ตั้งแต่ “4 คะแนน (มากที่สุด)” เช่น ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์หรือเสพยาเสพติดแล้วขับขี่, ขับขี่โดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยและความเดือดร้อนของผู้อื่น (เช่น พฤติกรรมชอบปาดซ้าย-ขวา), แข่งรถในทางโดยไม่ได้รับอนุญาต (อาทิ เด็กแว้น)
“3 คะแนน” เช่น ขับขี่ในขณะหย่อนความสามารถในการขับขี่ (อาทิ รับประทานยาบางชนิดที่ทำให้ความสามารถในการขับขี่ลดลง), ชนแล้วหนี, ขับขี่ผิดปกติวิสัย ไม่อาจเห็นทางด้านหน้าหรือด้านหลังด้านใดด้านหนึ่งหรือทั้ง 2 ด้านได้พอแก่ความปลอดภัย (อาทิ ปิดกระจกมืดทึบจนมองเห็นทางได้เพียงเล็กน้อย,ขี่มอเตอร์ไซค์ทำท่าผาดโผนพิสดารในลักษณะที่ไม่สามารถควบคุมรถได้อย่างปลอดภัย)
“2 คะแนน” เช่น ฝ่าไฟแดง, ย้อนศร, ขับขี่ในระหว่างถูกพักใช้ใบอนุญาต และ “1 คะแนน” เช่น ไม่หยุดให้คนเดินในทางข้าม (อาทิ ทางม้าลาย) ขับขี่บนทางเท้าโดยไม่มีเหตุอันควร, ใช้โทรศัพท์มือถือโดยไม่ใช้อุปกรณ์ช่วย, ใช้ความเร็วเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด, ไม่สวมหมวกกันน็อก-คาดเข็มขัดนิรภัย,ไม่เสียค่าปรับตามใบสั่งโดยไม่มีเหตุอันควร เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม พล.ต.ต.เอกรักษ์ อธิบายเพิ่มเติมว่า พฤติกรรม “ขับช้าแช่ขวา” ยังไม่เข้าข่ายถูกตัด 4 คะแนน เพราะยังไม่เข้าข่ายพฤติกรรมที่ก่อให้เกิดอันตรายและสร้างความไม่ปลอดภัยแก่ผู้อื่น ขณะที่“ผู้สูงอายุหรือผู้ป่วยที่ขับรถแล้วเกิดอุบัติเหตุซ้ำซาก”แม้ด้านหนึ่งถือว่าเข้าข่ายขับขี่ในขณะหย่อนความสามารถในการขับขี่ (ตัด 3 คะแนน) แต่อีกด้านหนึ่งต้องรวบรวมข้อมูลให้ตำรวจประสานไปยังกรมการขนส่งทางบกในฐานะผู้ออกใบอนุญาตขับขี่
เพื่อให้พิจารณาต่อไปว่าจะเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่ หรือพักใช้ใบอนุญาตขับขี่เป็นการชั่วคราว เพื่อให้ไปเข้ารับการรักษาจนสามารถกลับมาควบคุมรถได้เป็นปกติ ซึ่งในอนาคตมีแนวคิดว่า อาจต้องให้ผู้สูงอายุทดสอบร่างกายเพื่อประเมินว่ายังมีความพร้อมที่จะขับขี่ยานพาหนะด้วยตนเองต่อไปหรือไม่ ทั้งนี้ ในบางข้อหาของ พ.ร.บ.จราจรทางบก ที่ระบุอัตราโทษจำคุกไว้นอกจากจะถูกตัดคะแนนแล้วยังต้องถูกดำเนินคดีในชั้นศาลด้วย
อนึ่ง เหตุที่มี 12 คะแนน มาจากการศึกษาในประเทศแถบยุโรป ที่พบว่า บางครั้งการทำผิดกฎจราจรก็เป็นเพราะเหตุสุดวิสัย การตั้งไว้ 12 คะแนนเท่ากับเดือนหนึ่งอาจทำผิดได้ 1 ครั้ง โดยทุกๆ1 ปี หรือ 365 วัน ก็จะมีการนับคะแนนกันใหม่หรือผู้ที่เสียคะแนนในปีนี้ ในปีถัดไปก็จะกลับมาอยู่ที่ 12 คะแนนเท่าเดิม นอกจากนี้ ยังมีทางเลือกอีกในกรณีที่ผู้ขับขี่เหลือคะแนนอยู่น้อยแล้วแต่มองว่าตนเองยังจำเป็นในการใช้รถ สามารถสมัครใจเข้ารับการอบรมที่สำนักงานขนส่งทางบกได้ โดยผู้ขับขี่ต้องชำระค่าใช้จ่ายทั้งหมดเอง
โดยจะเป็นการอบรมเฉพาะเรื่อง เช่น หากทำผิดเรื่องฝ่าไฟแดงบ่อยๆ ก็จะเน้นให้เห็นว่าการฝ่าไฟแดงมีอันตรายอย่างไร เป็นต้น แต่หากถูกตัดคะแนนจนหมด นอกจากจะถูกพักใช้ใบอนุญาตขับขี่เป็นเวลา 90 วันแล้ว ยังต้องเข้ารับการอบรมด้วย ซึ่งหากไม่ไปอบรมในระยะเวลาที่กำหนด จะได้คะแนนคืนมาเพียง 8 คะแนน แล้วต้องรอไปอีก 1 ปี หากไม่ทำความผิดอีกในปีต่อไปจึงจะได้กลับคืนมาเต็ม 12 คะแนน ทั้งนี้ กรมการขนส่งทางบก อาจไม่ต่อใบอนุญาตขับขี่ให้ก็ได้ หากผู้ขับขี่มีพฤติกรรมทำผิดถูกตัดคะแนนซ้ำซากติดต่อกันในรอบ 3 ปี
“เรามีมาตรา 4/1 (พ.ร.บ.จราจรทางบก (ฉบับที่ 12)พ.ศ.2562) ซึ่งกำหนดให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติและกรมการขนส่งทางบกต้องแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารเพื่อประโยชน์ในการบังคับใช้กฎหมายจราจร ตอนนี้เราเชื่อมแล้วเพราะฉะนั้นที่เราใช้ระบบตัดคะแนนความประพฤติได้ เพราะว่าต่อไปนี้เราสร้างระบบ PTM ขึ้นมาเพื่อเก็บข้อมูลใบสั่งประวัติผู้ขับขี่ทั้งหมด เพราะฉะนั้นใครที่ถูกใบสั่ง ถูกตัดกี่คะแนนมันจะสามารถนำข้อมูลมาใช้ร่วมกันทั้งตำรวจและขนส่ง
การตัดคะแนนความประพฤติผู้ขับขี่ เมื่อครบ 12 คะแนนจะถูกพักใช้ใบอนุญาตขับขี่มีระยะเวลา 90 วันในระยะเวลา 90 วันนี้ห้ามขับรถ ถ้าขับรถจะเป็นความผิดตามกฎหมายใหม่คือจำคุกไม่เกิน 3 เดือน และมีโทษปรับด้วย แต่ศาลจะลงโทษอย่างไรก็เป็นดุลพินิจของศาล กระบวนการนี้ทำให้คุณต้องเสียเวลา แล้วคุณจ่ายเงินอย่างเดียวเพื่อพ้นผิดไม่ได้ คุณต้องนำไปสู่กระบวนการยุติธรรมเลย ฉะนั้นก็จะทำให้ผู้ขับขี่ทุกคนไม่อยากให้คะแนนหมด” พล.ต.ต.เอกรักษ์ กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี