"ถ้าเราขายสินค้าให้จีนอย่างเดียว ไม่ได้ ไทยก็ต้องซื้อเขาบ้าง สินค้าไหนของจีนดี ก็ต้องซื้อมาขาย จะเอาอย่างเดียวไม่ได้" นี่คือหนึ่งในประโยคทิ้งท้ายของนายธนากร เสรีบุรี ในฐานะนายกสมาคมส่งเสริมการลงทุนและการค้าไทย-จีน และรองประธานอาวุโสเครือเจริญโภคภัณฑ์ ซึ่งได้ให้สัมภาษณ์พิเศษกับ "แนวหน้า ออนไลน์" ภายหลังการปาฐกถาในหัวข้อ "อดีต ปัจจุบัน และอนาคตของจีน" จัดโดย "สมาคมส่งเสริมการลงทุนและการค้าไทย-จีน" ร่วมกับ "หอการค้าไทยในจีน" เมื่อวันที่ 20 สิงหาคมที่ผ่านมา ที่ร้านเอสแอนด์พี ซอยสุขุมวิท 26
นายกสมาคมส่งเสริมการลงทุนและการค้าไทย-จีนฯ ยังให้วิสัยทัศน์และมุมมองที่น่าสนใจ โดยกล่าวว่า เศรษฐกิจของจีนยังไปต่อได้อีก และ เตรียมจะบินโดยเฉพาะเรื่องโปรดักส์เทคโนโลยี แล้วจีนทำสองทาง คือ ทั้งรุกและรับ ตรงนี้จึงเป็นโอกาสของประเทศไทยที่จะต้องรุกมากขึ้น ไม่ใช่ตั้งรับอย่างเดียว
"ตอนนี้การค้าระหว่างจีน ในกลุ่มประเทศอาเซียน ไทยอยู่ที่ 6 จริงๆผมว่า ต้องประเทศไทยต้องอยู่ที่หนึ่ง เพราะฉะนั้น เราต้องสร้างนักธุรกิจรุ่นใหม่ที่พูดจีนเป็น แล้วเข้าไปอยู่ที่นั่น อย่างผม ผมเข้าไปฝังตัวที่นั่น เพื่อให้เราเข้าใจ แล้วที่สำคัญจีนให้ความสำคัญในเรื่องของคอนเนคชั่น คือ ถ้าเป็นเพื่อนกันแล้วอะไรก็คุยได้ แต่เราต้องมีความซื่อสัตย์และจริงใจและเอาของที่ดีให้เขา และ ราคายุติธรรม ไปต้มเขาไม่ได้ ไปต้มเขาก็ได้ครั้งเดียว ต้มเขาอีกครั้งที่สองเขาก็ไม่เอา" นายกสมาคมฯเล่าให้ฟังอย่างเป็นกันเอง
นายธนากร เคยนั่งเป็นผู้บริหารระดับสูงอยู่ในเครือเจริญโภคภัณฑ์ในจีนในตำแหน่งประธานคณะผู้บริหารกลุ่มธุรกิจยานยนต์และอุตสาหกรรม (จีน) เครือเจริญโภคภัณฑ์ และ โลดแล่นอยู่ในจีน 40 กว่าปี เรียกว่า จีนเป็นบ้านหลังที่ 2 ก็ว่าได้ จึงเข้าใจจีน และ มองจีนได้อย่างทะลุปรุโปร่ง ทำให้วันนี้ นายธนากร ยังเป็นหนึ่งในกุนซือคนสำคัญระดับแถวหน้าของไทยในด้านการค้าระหว่างประเทศไทยและจีน ภายใต้หมวกใบสำคัญในเครือเจริญโภคภัณฑ์ คือ ตำแหน่งรองประธานอาวุโสเครือเจริญโภคภัณฑ์มายาวนานกว่า 54 ปี
"ผมว่าทางด้านเกษตร เรายังพัฒนาน้อยมา เราต้องพัฒนามากกว่านี้ เกษตรบ้านเราต้องเป็นเกษตรผืนใหญ่แล้วใช้เทคโนโลยี ต้องไปปรับปรุงเรื่องพันธุ์ ผลผลิตต่างๆ และ การแปรสภาพ จีนเขาก็ยังต้องซื้อ อยู่ที่ตัวเรา คือ มาร์เก็ตติ้งเราไม่เก่ง ส่วนใหญ่เราตั้งรับ อย่างกรณีครั้งที่แล้ว ผมเอาผู้ว่าราชการมณฑลเหอหนานมา ผมบอกว่า ลำไยเเราล้นตลาด เขาบอกว่า เดี๋ยวพรุ่งนี้ผมส่งคนมาซื้อเลย แต่ที่ผ่านมาไม่มีคนไปคอนเนค (connect) กับเขา ลำไยเก็บได้ไม่นาน ต้องไปแปรสภาพ อย่างตอนนี้ผมเห็นทุเรียนผมดีใจด้วย บางคนไม่เข้าใจไปบอกว่า ล้งจีนไปรังแกเขา มันไม่ใช่ ถ้าเราส่งไปคุณภาพไม่ดี จีนเขาก็ขาดทุนร้อยเปอร์เซนต์ เขาก็เลยต้องส่งคนมาที่ประเทศไทย เพื่อมาซื้อทุเรียนกับเกษตรกร และ เหตุที่ทำให้จีนต้องส่งคนมา เพราะที่่ผ่านมา บางครั้งการขนส่งมีการส่งปอยัดไส้บ้าง หรือ ใส่หินบ้าง ตอนนั้นผมเองอยู่ที่จีน ก็ต้องส่งคนมาเลย เพราะถ้าเราส่งสินค้าไปขายที่จีนคุณภาพดี เรื่องอะไรทางจีนเขาจะส่งคนมา อย่างเกษตรของเรา พวกที่มีอำนาจ คุมคุณภาพให้ได้ ส่วนใหญ่เราไม่ค่อยได้คุม ลำไยลูกนิดเดียวขายแล้ว เกษตรกรอ่านแล้ว ต้องปรับตัว ต้องรักษาคุณภาพ ซื่อสัตย์ และเน้นขายสินค้าแพ็กเก็จจิ้งสวยงาม และ มีคนไปคอนเนคชั่นกับจีนก่อน ไม่ใช่รอ เพราะระหว่างรอ ทางมาเลเซียก็เอาไป กัมพูชาเอาไป เพราะฉะนั้นไทยต้องการทำการค้าเชิงรุกมากขึ้น" นายธนากรเล่าให้ฟัง
สำหรับสินค้าเกษตรที่กำลังเป็นที่ต้องการของประเทศจีน ได้แก่ น้ำตาล และ ยางพารา รวมไปถึงการค้าขายสินค้าเกษตรร่วมกัน ในอนาคตจีนอาจจะมองโอกาสการเข้ามาซื้ออสังหาริมทรัพย์ในไทย เพื่อขยายการลงทุนและทำการค้ากับไทยในระยะยาว เพราะปัจจัยราคาอสังหาริมทรัพย์ในไทยมีราคาไม่แพง เมื่อเทียบกับหัวเมืองใหญ่ๆในจีน อาทิ เซี่ยงไฮ้
"จีนพอเขารวยขึ้น เขาก็ปลูกไม่ไหวแล้ว เพราะที่ดินเขาแพงขึ้นด้วย อย่างคอนโดมีเนียมที่เซี่ยงไฮ้ แพงกว่าเมืองไทย ที่เซี่ยงไฮ้ ในทำเลที่ดีๆ ตารางเมตรละล้าน บ้านเราในทำเลที่ดีๆตารางเมตรละสองแสนบาท อนาคตคนจีนมาซื้อที่ดินเราก็มี เพราะฉะนั้นเมืองไทยเป็นโอกาสทองของจีน และคนจีนมองไทยเป็นเหมือนเพื่อน ในฐานะที่เราใกล้กับจีน เรามีความได้เปรียบ เพราะฉะนั้นเราต้องเอาตลาดจีนเป็นตลาดของเราให้ได้ ถ้าจีนเขาจะซื้อสินค้าเรา ประชากรจีนมีจำนวน 1,400 ล้านคน ความต้องการของคนจีน ถ้าเขาซื้อเรานิดเดียว ของเราก็หมดแล้ว ต้องสนใจเรื่องนี้ให้มาก" นายกสมาคมฯ วิเคราะห์อนาคตการทำการค้าระหว่างไทยกับจีน โดยเฉพาะสินค้าเกษตร ซึ่งเป็นตลาดที่ใหญ่และสำคัญ จนทำให้ในอนาคตชาวจีนมีโอกาสมองการซื้อขายที่ดินในไทย เพื่อมาลงทุนทำการค้าในระยะยาว
ทั้งนี้ เวทีปาฐกถาดังกล่าวมีผู้ร่วมปาฐกถาซึ่งสะท้อนมุมมองเกี่ยวกับจีนได้อย่างตกผลึก ได้แก่ นายวิบูลย์ คูสกุล อดีตเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงปักกิ่ง, นายประเสริฐศักดิ์ องค์วัฒนกุล ที่ปรึกษาอาวุโส เครือเจริญโภคภัณฑ์ และนายชเล วุทธานันท์ กรรมการ บริษัทเท็กซ์ไทล์แกลลอรี่ จำกัด
นอกจากนี้ ยังมีสมาชิกในสมาคมส่งเสริมการลงทุนและการค้าไทย-จีน เข้าร่วมฟัง ซึ่งอยู่ในหลากหลายธุรกิจ เช่น ธุรกิจเห็ดเข็มทอง ซึ่งมีสินค้าวางจำหน่ายในเซเว่น อีเลฟเว่น, ธุรกิจเครื่องสำอางซึ่งผลิตจากสมุนไพรไทย และธุรกิจซอฟท์แวร์เกม โดยผู้ประกอบการธุรกิจที่เกี่ยวกับซอฟท์แวร์ และเครื่องสำอางจากสมุนไพรไทยนั้นเป็นคนรุ่นใหม่ ยังไม่เคยไปฝังตัวอยู่ที่ประเทศจีน จึงมีความจำเป็นที่จะต้องขอคำแนะนำจากผู้ใหญ่ระดับกุนซือของไทย ทางด้านการทำตลาดสินค้าไทยในจีน และโอกาสการลงทุนในจีน เพราะปัจจุบันมีตัวแปรหลายปัจจัยที่ทำให้ไปจีนได้ลำบากขึ้น อาทิ การระบาดของโควิด-19 รวมไปถึง เทรด วอร์ และ เทค วอร์ เป็นต้น
ดังนั้น วันนี้และอนาคต “จีน” จึงมองไทยเป็น “พื้นที่แห่งโอกาสทอง” ของจีน ด้วยความสัมพันธ์ที่เป็นกัลยาณมิตรต่อกัน โดยจะส่งผลดีต่อการทำการค้าร่วมกันโดยเฉพาะสินค้าด้านเกษตร ซึ่งไทยมีความโดดเด่นมานาน ในการเป็นแหล่งต้นน้ำทางด้านการผลิตสินค้าเกษตร รวมไปถึงการเปิดโอกาสให้เกิดการเชื่อมต่อด้านการลงทุนในธุรกิจอื่นๆตามมาในแบบ 360 องศา ระหว่าง “ไทย” และ “จีน”
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี