“สิทธิมนุษยชน (Human Rights)” แม้จะไม่ใช่เรื่องใหม่แต่เป็นแนวคิดที่อยู่คู่กับสังคมมนุษย์มานานอย่างน้อยที่สุดก็นับตั้งแต่การก่อตั้งองค์กรระหว่างประเทศที่ใหญ่ที่สุดอย่างสหประชาชาติ (UN) ถึงกระนั้น การถกเถียงและต่อสู้ในประเด็นสิทธิมนุษยชนก็ยังคงดำเนินต่อไปแล้วแต่ว่าสังคมของประเทศนั้นๆ จะให้น้ำหนักกับเรื่องใด ทั้งนี้ สำหรับประเทศไทย หมุดหมายสำคัญครั้งหนึ่งของสิทธิมนุษยชน คือการเกิดขึ้นของรัฐธรรมนูญฉบับ 2540 อันเป็นรัฐธรรมนูญที่ถูกขนานนามว่าเป็นฉบับที่ประชาชนมีส่วนร่วมในการออกแบบมากที่สุด
โดยเฉพาะ สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) องค์กรซึ่งทำหน้าที่คุ้มครองและส่งเสริมสิทธิมนุษยชน ก็ถือกำเนิดเป็นครั้งแรกในไทยตามบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญฉบับ 2540 และดำรงอยู่มาจนถึงปัจจุบันแม้จะเปลี่ยนมาใช้รัฐธรรมนูญฉบับ 2560 แล้วก็ตาม ซึ่งเมื่อช่วงต้นเดือนก.ย. 2565 เพิ่งมีการจัดงาน “สมัชชาสิทธิมนุษยชน : เหลียวหลังแลหน้า 2 ทศวรรษ กสม.” โดยหนึ่งในไฮไลท์สำคัญของงาน คือการปาฐกถา หัวข้อ “เหลียวหลังแลหน้า 2 ทศวรรษ กสม. : ความร่วมมือ ความสำเร็จและข้อท้าทาย” มีวิทยากร 3 ท่าน ร่วมให้มุมมอง
มณเฑียร บุญตัน สมาชิกวุฒิสภา (สว.) เล่าว่า ในปี 2544 ซึ่งขณะนั้นยังทำงานในฐานะภาคประชาสังคม (NGO) มีโอกาสได้เป็นตัวแทนรัฐบาลไทยไปร่วมยกร่าง อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิคนพิการ (CRPD) หนึ่งในอนุสัญญาสำคัญขององค์การสหประชาชาติ ซึ่งต้องบอกว่า ณ ช่วงเวลาดังกล่าวสังคมโดยทั่วไปยังมองประเด็นผู้พิการว่าเป็นเรื่องของการสงเคราะห์ (Social Welfare) หรือความเมตตากรุณาอาทร แม้กระทั่งในหมู่นักเคลื่อนไหวด้านสิทธิมนุษยชนก็เช่นกัน ทำให้อนุสัญญาฉบับนี้กว่าจะเกิดขึ้นมาได้ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย
ต่อมาในปี 2551 มีโอกาสได้เข้าสู่สภาครั้งแรกในฐานะ สว. แบบสรรหา ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญฉบับ 2550 ซึ่งแม้จะรู้ดีว่าที่มานั้นถูกตั้งคำถามเรื่องความเป็นประชาธิปไตย แต่เมื่อเข้ามาแล้วก็ต้องทำงานได้ดีที่สุด และอยู่ประจำคณะกรรมาธิการ (กมธ.) สิทธิมนุษยชนตลอดมาจนกระทั่งในการเป็นสว. ชุดปัจจุบัน ทั้งนี้ “เมื่อพูดถึงคำว่าสิทธิมนุษยชนในสังคมไทย มักถูกกล่าวหาว่าเป็นเรื่องของฝรั่งต่างชาติ..
ไม่ได้อยู่ในจิตวิญญาณของความเป็นไทย” ซึ่งอาจเป็นเพราะหลายคนยังยึดติดกับประวัติศาสตร์ยุคที่ชาติตะวันตกออกล่าอาณานิคม
“จริงๆ แล้วหลักการสิทธิมนุษยชน เป็นหลักการที่เกิดจากการที่มนุษยชาติเราประสบกับเคราะห์กรรมอันใหญ่หลวงอันเกิดจากการกระทำของพวกเราทั้งโลก จนเกิดมหาสงครามครั้งใหญ่ถึง 2 ครั้ง มันไม่ใช่เป็นเรื่องของจักรวรรดินิยมเมื่อ 2-3 ร้อยปีที่แล้ว แม้กระทั่งประเทศที่พัฒนาแล้วในตะวันตกก็มีปัญหาละเมิดสิทธิมนุษยชนไม่ได้แตกต่างจากบ้านเรา เพียงแต่ปัญหาอาจจะแตกต่างกันบ้างในประเด็น” สว.มณเฑียร ระบุ
สว.มณเฑียร กล่าวต่อไปว่า การทำงานของ กสม. ได้ช่วยให้มุมมองต่อสิทธิมนุษยชนในสังคมไทยค่อยๆ เปลี่ยนไป จากกลืนไม่เข้า-คายไม่ออก สู่การแบ่งรับ-แบ่งสู้ ถึงกระนั้นต้องยอมรับว่า “ผู้มีอำนาจในสังคมไทยไม่ว่าจะเป็นขั้วใดก็ตาม มักไม่ค่อยให้การสนับสนุนสิทธิมนุษยชน” ซึ่งภาพที่พบเห็นเสมอมาทุกยุคสมัยคือ “ยามมีอำนาจไม่เชียร์สิทธิมนุษยชน..แต่หมดอำนาจเมื่อไหร่กลับรักใคร่สิทธิมนุษยชนขึ้นมาทันที” อันมีสาเหตุมาจากปัจจัยพื้นฐาน เช่น มองว่าสิทธิมนุษยชนเป็นของนอก (Import) หรือมองว่าไกลตัวเมื่อเทียบกับเรื่องปากท้อง
“ฉะนั้นจะทำให้สังคมไทยโดยรวม โดยเฉพาะผู้ที่อยู่ในฐานะได้เปรียบ หันมารักใคร่สมัครสมานกับคำว่าสิทธิมนุษยชน ยอมรับบทบาทของ กสม. อย่างหน้าชื่นตาบาน ไม่คิดว่าการที่ กสม. ตรวจสอบ วิพากษ์วิจารณ์การละเมิดสิทธิมนุษยชน เป็นการชังชาติหรือไม่หวังดีต่อประเทศชาติ มันจะเป็นไปได้หรือไม่ ผมก็ยังมีคำถามอยู่ ผมคิดว่า กสม. ต้องยืนหยัด จะด้วยวิธีการที่ชาญฉลาดและมีศิลปะในการทำความเข้าใจ เป็นเรื่องที่สำคัญ” สว.มณเฑียร กล่าว
ขณะที่ เสรี นนทสูติ กรรมการสหประชาชาติว่าด้วยสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม และกรรมการปฏิรูปประเทศด้านวัฒนธรรม กีฬา แรงงานและทรัพยากรมนุษย์ ระบุว่า รัฐธรรมนูญฉบับ 2560 มีข้อน่าสนใจอย่างหนึ่งคือ มาตรา 77 ว่าด้วยการประเมินผลกฎหมาย ทั้งที่จะออกใหม่และที่ใช้กันอยู่ ขณะเดียวกัน ยังมี พ.ร.บ.หลักเกณฑ์การจัดทำร่างกฎหมาย และการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย พ.ศ.2562
แต่ในความเป็นจริงพบว่า การประเมินผลกฎหมายกลับกลายเป็นเพื่อให้หน่วยงานของรัฐจำกัดสิทธิของประชาชนได้สะดวกยิ่งขึ้นมากกว่าการทำให้สิทธิของประชาชนดีขึ้นในภาพรวม อีกทั้งแม้ รธน.มาตรา 77 จะมีเจตนารมณ์ให้รัฐมีกฎหมายเท่าที่จำเป็น รวมถึงกำหนดโทษทางอาญาในกฎหมายเฉพาะความผิดร้ายแรง แต่ก็ยังพบปัญหา เช่น มีความพยายามออกกฎหมายเพื่อจำกัดสิทธิในการรวมกลุ่มจัดตั้งองค์กรของภาคเอกชน ขณะที่กฎหมายบางเรื่องที่มีโทษทางอาญามาแต่เดิมก็ยังไม่ถูกยกเลิก อาทิ ความผิดฐานหมิ่นประมาท ความผิดฐานเป็นผู้ใช้ยาเสพติด
อย่างไรก็ตาม กสม. ก็มีอำนาจหน้าที่ในการให้ข้อเสนอแนะปรับปรุงกฎหมายเพื่อประโยชน์ของประชาชน โดย พ.ร.ป.ว่าด้วยคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ พ.ศ.2560 มาตรา 26 (3) กำหนดให้ กสม. เสนอแนะมาตรการหรือแนวทางในการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชนต่อรัฐสภา คณะรัฐมนตรี และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมตลอดทั้งการแก้ไขปรับปรุงกฎหมาย กฎ ระเบียบ หรือคําสั่งใดๆ เพื่อให้สอดคล้องกับหลักสิทธิมนุษยชน ตนจึงคาดหวังให้ กสม. มีบทบาทในส่วนนี้
“ขณะนี้การประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมายกำลังจะกลายเป็นกระบวนการในเชิงพิธีกรรม คือส่วนราชการก็จะประเมินผลสัมฤทธิ์ไปเหมือนกับเช็คช่อง (Tick Box) แต่ไม่มีนัยของการมีส่วนร่วมของประชาชน และไม่มีกรอบความคิดของการทำงานเพื่อสิทธิมนุษยชน ฉะนั้น กสม. คือส่วนที่จะเติมเต็ม อยากจะเสนอประเด็นเดียวเลย กสม. ควรจัดตั้งหน่วยงานภายใน เพื่อทำหน้าที่ให้ความเห็นในร่างกฎหมายที่เขาจะประเมิน ทั้งที่กำลังจะออกเป็นร่าง ทั้งที่เป็นกฎหมายอยู่แล้ว เพื่อให้มันสอดคล้องกับมาตรา 77 ของรัฐธรรมนูญ” เสรี กล่าว
ด้าน พฤ โอโดเชา ตัวแทนประชาชนกลุ่มชาติพันธุ์ สะท้อนปัญหาของกลุ่มชาติพันธุ์ที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายการพัฒนาของรัฐครั้งแล้วครั้งเล่า อาทิ การย้ายชุมชนออกจากพื้นที่ป่า เช่น ชุมชนผาช่อ ในปี 2535 หรือชุมชนบางกลอยบนในปี 2554 ซึ่งในปี 2564 มีชาวบ้านถูกดำเนินคดีเพราะพยายามจะย้ายกลับเข้าไปอยู่ ณ พื้นที่ตั้งชุมชนบางกลอยบนเดิม ทั้งที่กลุ่มชาติพันธุ์อยู่อาศัยและดำรงวิถีขนบประเพณี ณ ที่นั้นมารุ่นแล้วรุ่นเล่า แม้กระทั่งการตั้งชุมชนก็ต้องทำพิธีบอกกล่าวเจ้าป่าเจ้าเขา
สิ่งเหล่านี้ที่เกิดขึ้นจึงเป็นภาพสะท้อนว่า..ยังมีประชาชนอีกมากที่ขาดความรู้เกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนและกำลังตกอยู่ในสภาพถูกละเมิด กสม. จึงมีความสำคัญในฐานะผู้ขับเคลื่อนประเด็นสิทธิสู่นโยบายที่เป็นจริง!!!
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี