“12,116,199 คน” เป็นจำนวนของ “ผู้สูงอายุ” ในประเทศไทย ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 18.3 ของประชากรทั้งหมด 66,165,261 คน ในช่วงเวลาเดียวกัน (ข้อมูล ณ เดือนมกราคม 2565 โดยกรมกิจการผู้สูงอายุ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย) ดังนั้นไทยจึงเป็นประเทศที่อยู่ในภาวะ “สังคมสูงวัย” และมุ่งหน้าสู่การเป็นสังคมสูงวัยสมบูรณ์ และสังคมสูงวัยระดับสุดยอด ในอนาคตอันใกล้
เมื่อกล่าวถึงผู้สูงอายุ “เทคโนโลยีดิจิทัล” ดูเหมือนจะเป็น “ยาขม” อยู่ไม่น้อย เห็นได้จากในสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 ตลอดกว่า 2 ปีที่ผ่านมา หนึ่งใน “ดราม่า” สำคัญคือมาตรการช่วยเหลือต่างๆ ของภาครัฐที่มุ่งเน้นให้ดำเนินการผ่านเทคโนโลยีดิจิทัล แม้เข้าใจได้ว่าเพื่อลดการสัมผัสวัตถุหรือรวมกลุ่มคน แต่ก็มักจะมีเสียงสะท้อนเสมอว่าทำให้ผู้สูงอายุเหมือนถูกทิ้งไว้ข้างหลัง เนื่องด้วยไม่ถนัดในการใช้เทคโนโลยี ซึ่งหลายคนอย่าว่าแต่ใช้แพ็กเกจอินเตอร์เนต แม้กระทั่งโทรศัพท์มือถือก็ยังคงเลือกใช้แบบปุ่มกดแทนที่จะเป็นสมาร์ทโฟน
รศ.ดร.พนม คลี่ฉายา อาจารย์คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวในงานเสวนา (ออนไลน์) เรื่อง “เทคโนโลยีกับผู้สูงวัย” จัดโดย มูลนิธิสถาบันวิจัยและพัฒนาผู้สูงอายุ (มส.ผส.) ร่วมกับ สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) เมื่อเร็วๆ นี้ ว่า การเตรียมความพร้อมให้กับผู้สูงอายุในเรื่องของเทคโนโลยีเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะปัจจุบันสังคมไทยได้ก้าวเข้าสู่ยุค New Normal และสังคมดิจิทัล ซึ่งแต่เดิมผู้สูงอายุกับคอมพิวเตอร์ไม่ค่อยถูกกัน จึงอยากเปิดมุมมองใหม่ว่า เทคโนโลยีเป็นเครื่องมือที่ผู้สูงอายุสามารถใช้ในการดูแลตนเองได้
ทั้งนี้ มุมมองที่สำคัญ “คือผู้สูงอายุทุกคนจะต้องมีความกระปรี้กระเปร่า” ซึ่งอยากจะลบภาพเดิมที่มองว่าวัยเกษียณต้องไปเลี้ยงหลาน และยังพบอีกว่าปัจจุบันมุมมองดังกล่าวที่มีต่อผู้สูงอายุไม่ได้มีทุกคน นอกจากนี้ การใช้เทคโนโลยีกับผู้สูงอายุ จะต้องเคารพภูมิปัญญา ความสามารถ หรือต้นทุนทางความคิดของผู้สูงอายุ ซึ่งเทคโนโลยีสามารถดึงเอาภูมิปัญญาและความสามารถของผู้สูงอายุมาใช้สร้างความกระปรี้กระเปร่าได้
รศ.ดร.พนม กล่าวต่อไปว่า “ปัจจุบันมีผู้สูงอายุที่สามารถใช้เทคโนโลยีเพื่อสร้างรายได้ให้กับตนเอง” โดยการขายสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ และมีการสร้างเนื้อหา
(Content) ที่มีการถ่ายทอดภูมิปัญญาท้องถิ่น ซึ่งสามารถมีรายได้จากส่วนแบ่งเข้าชมในแพลตฟอร์มออนไลน์ และอาจจะมีพัฒนาเพื่อสร้างรายได้จากสินค้าของตัวเอง อีกทั้งมีผู้สูงอายุปรับตัวโดยใช้เทคเทคโนโลยีเพื่อดูแลสุขภาพ เช่น “สมาร์ทวอทช์” หรือนาฬิกาที่บอกข้อมูลต่างๆ เกี่ยวกับร่างกายผู้ใช้งาน ซึ่งกำลังได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก
“แต่ผู้สูงอายุในระดับกลางและผู้สูงอายุที่มีความเปราะบางจะถูกบังคับในการเข้าถึงสวัสดิการของรัฐฯที่จะต้องผ่านเรื่องของเทคโนโลยี เช่น แอปพลิเคชั่นเป๋าตัง ซึ่งในช่วงยุคโควิด-19 จะต้องเว้นระยะห่าง ซึ่งการไปสถานพยาบาลจะต้องผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ จึงเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่สิ่งที่สำคัญคือเวลามองผู้สูงอายุในเรื่องของเทคโนโลยีจะต้องแยกกลุ่มให้ชัดเจน เนื่องจากผู้สูงอายุทั้งหมดไม่ได้คล่องแคล่วกับการใช้เทคโนโลยี ซึ่งผู้สูงอายุแต่ละช่วงวัยจะมีความคล่องแคล่วในการใช้เทคโนโลยี และการปรับตัวที่แตกต่างกัน” รศ.ดร.พนม กล่าว
รศ.ดร.พนม ให้ความเห็นว่า “การพัฒนาเทคโนโลยีในกับผู้สูงอายุจะต้องมองเป็นกลุ่มๆ” โดยแบ่งเป็น 1.กลุ่มอายุ 60–70 ปี ซึ่งเป็นกลุ่มผู้สูงอายุตอนต้น
มีความคล่องตัวในการใช้เทคโนโลยีในระดับปานกลางและดี กับ 2.กลุ่มอายุ 70–80 ปีขึ้นไป ซึ่งเป็นกลุ่มผู้สูงอายุตอนกลางและตอนปลาย จะมีทักษะเรื่องเทคโนโลยีน้อย ขณะเดียวกัน ยังมี “กลุ่มผู้สูงอายุในอนาคต” ที่มีช่วงอายุตั้งแต่ 40-49 ปี และกลุ่มอายุ 50-59 ปี ซึ่งมีความคล่องตัวและแรงจูงใจในการใช้เทคโนโลยีสูงกว่าผู้สูงอายุที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป
สุดท้ายที่ละทิ้งไม่ได้คือ “กลุ่มผู้สูงอายุเปราะบาง” อาทิ ฐานะเศรษฐกิจไม่ค่อยดี อยู่คนเดียวไม่มีลูกหลานดูแล และป่วยติดเตียง ซึ่งเป็นอีกกลุ่มหนึ่งที่เทคโนโลยีไม่ค่อยเข้าถึง แต่คนกลุ่มนี้ใช้เทคโนโลยีเช่นกัน เช่น ใช้ไลน์และเฟซบุ๊ค และบางคนใช้แค่โทรศัพท์แบบปุ่มกด โดยสิ่งที่จะต้องมองคือ “การพัฒนาเทคโนโลยีในกลุ่มเปราะบาง จะนำความคิดในงานวิจัยไปบอกกลุ่มนี้ไม่ได้” โดยบางคนคิดว่าเทคโนโลยียังเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็น และยังพบอีกว่า “แม้จะมีความคล่องตัวในการใช้เทคโนโลยี แต่ยังขาดสัญญาณอินเตอร์เนต” มองว่าเป็นการเพิ่มภาระค่าใช้จ่ายรายเดือน
ขณะที่ สุธีรา จำลองศุภลักษณ์ กรรมการบริษัท OPPY : ชมรมคอมพิวเตอร์และอินเตอร์เนตเพื่อผู้สูงอายุ กล่าวว่า การออกแบบหลักสูตรของ OPPY จะมีหลักการ ไม่ใช่เล่นคอมพิวเตอร์เป็นก็สามารถออกแบบหลักสูตรได้ โดยจะใช้หลักการ ADDY Model ในการออกแบบหลักสูตรโดยเฉพาะ ซึ่งมีสิ่งที่สำคัญคือ “การวิเคราะห์” จะต้องวิเคราะห์ให้ขาดว่าผู้เรียนของเราคือใคร เนื่องจาก “กลุ่มผู้เรียนแต่ละช่วงอายุและการศึกษาจะมีบริบทของการออกแบบหลักสูตรที่ไม่เหมือนกัน” จึงต้องวิเคราะห์ลึกมากเพื่อที่จะทำการสอนได้อย่างตรงกลุ่มและถูกต้อง
โดยแบ่งเป็น 1.เขาคือใคร จะต้องรู้ว่าสภาพร่างกายของผู้เรียนเป็นอย่างไร โดยคลาสเรียนจะไม่เกิน 10 คน เพราะว่าครูจะได้ดูแลใกล้ชิดและทั่วถึง เพื่อที่จะให้ผู้เรียนทำได้และทำเป็นตามที่ผู้เรียนต้องมี และ 2.วิเคราะห์ผู้เรียน โดยวิเคราะห์ว่าคนแต่ละกลุ่มมีลักษณะและความจำเป็นอย่างไร โดยเนื้อหาที่มีทั้งหมดผู้เรียนควรจะได้รับขนาดไหน และควรจะมีพื้นฐานจากที่ใดก่อนที่จะมาถึงจุดนี้ ฉะนั้นผู้สอนจะยัดเยียดเนื้อหาให้ผู้เรียนไม่ได้ แต่เวลาสอนจะให้ผู้เรียนทำซ้ำหลายๆ รอบ และให้ข้อมูลที่จำเป็น
ด้าน มะลิ สีดี เจ้าของเพจ “ผ้าไหมป้ามะลิ บุรีรัมย์” ผู้สูงอายุที่เปิดใจเรียนรู้เพื่อปรับตัวเข้าสู่ยุคดิจิทัล เปิดเผยว่า สาเหตุที่อยากเรียนรู้การใช้เทคโนโลยี เนื่องจากเป็นประธานกลุ่มแม่บ้านขายผ้าไหม จึงคิดว่าการขายสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์เป็นเทคโนโลยีที่จำเป็นในยุคปัจจุบัน ซึ่งก็ยอมรับว่า “ตอนแรกเรียนไม่รู้เรื่องเพราะสูงอายุแล้วความจำไม่ค่อยดี” แต่พอเรียนรู้ได้เบื้องต้นก็ได้นำความรู้ที่ได้มานำไปขายผ้าไหม ด้วยการให้หมายเลขโทรศัพท์กับลูกค้าที่จะซื้อผ้า
ต่อมาได้ลองใช้หมายเลขโทรศัพท์ผูกกับบัญชีธนาคาร เมื่อเวลาลูกค้าโอนเงินเข้าบัญชีธนาคารจะแจ้งเตือนเป็น SMS ซึ่งถือได้ว่าเป็นการใช้เทคโนโลยีอีกรูปแบบหนึ่ง ตามด้วยเรียนรู้การใช้สมาร์ทโฟนเพื่อที่จะขายผ้าไหมผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ โดยการเรียนรู้ในการตั้งเฟซบุ๊คเพจ และได้เรียนรู้การถ่ายรูปสินค้า เมื่อเข้าสู่ช่วงโควิด-19 ระบาด ทำให้มีผลกระทบขายสินค้าหน้าร้านไม่ค่อยได้ แต่ยังขายได้ต่อเนื่องผ่านช่องทางออนไลน์
จึงทำให้เห็นว่า “แม้จะสูงอายุ แต่ไม่มีข้อจำกัดถ้าอยากเรียนรู้เรื่องเทคโนโลยี” ซึ่งการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆจะต้องปรับเข้าหา!!!
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี