“Trust (ความเชื่อมั่น, ความไว้วางใจ) คือหัวใจของทุกอย่าง สมมุติว่าท่านกำลังจะแต่งงานแล้วต้องซื้อแหวนเพชรไปหมั้นเจ้าสาว รู้ได้อย่างไรว่าเพชรนั้นเป็นเพชรจริง รู้ได้อย่างไรว่าเพชรนั้นต่อให้เป็นเพชรจริง ไม่ใช่เพชรที่เป็น Blood Diamond(เพชรเปื้อนเลือด) ก็คือเพชรที่มาจากเหมืองที่เกิดขึ้นจากสงครามในบางประเทศทางแอฟริกา
หรือถ้าเกิดท่านอยากจะรับประทานผัก-ผลไม้ที่ดีต่อสุขภาพ ท่านรู้ได้อย่างไรว่าผัก-ผลไม้ที่อยู่บนโต๊ะที่ท่านจะรับประทาน เป็นผัก-ผลไม้ Organic (เกษตรอินทรีย์) และร้ายกว่านั้น ถ้าเกิดท่านต้องรับประทานยาไม่ว่าจะด้วยจุดประสงค์อะไร ท่านรู้ได้อย่างไรว่ายานั้นเป็นยาจริง เพราะถ้าเกิดว่าทานผิดเสียชีวิตได้เลย เพราะฉะนั้น Trust คือสิ่งที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง”
สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ ประธานสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาแห่งประเทศไทย (TDRI) กล่าวในการปาฐกถา หัวข้อ “ทำไมต้องมีสื่อที่สังคมเชื่อใจได้ในโลกที่ไม่น่าไว้ใจ (Why trusted-media matters in a zero-trust world?)” ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเวทีประชุมสุดยอด APAC Trusted Media Summit ประจำปีครั้งที่ 5 จัดโดย โคแฟค (ประเทศไทย) และ Google News Initiative (GNI)เมื่อเร็วๆ นี้ ว่าด้วยเรื่องของ Trust หรือความรู้สึกเชื่อมั่นไว้ใจกัน มีความสำคัญอย่างมากกับวิถีชีวิตในสังคมมนุษย์
ดังที่ 2 นักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบลอย่าง โรนัลด์ คอส (Ronald Coase) และ โอลิเวอร์ วิลเลียมสัน (Oliver Williamson) ได้ทำการศึกษาไว้ โดย คอส ซึ่งได้รางวัลในปี 2534 ค้นพบว่า “การเกิดขึ้นของบริษัทคือการลดต้นทุนในการทำธุรกรรม และธุรกรรมส่วนใหญ่ก็เกิดในบริษัท” ซึ่งหนึ่งในต้นทุนที่ว่าก็คือความไว้เนื้อเชื่อใจกัน เนื่องจากการทำงานในรูปแบบบริษัทหรือองค์กร เป็นการทำให้คนได้มีปฏิสัมพันธ์กันอย่างสม่ำเสมอ จึงเกิดความไว้ใจกันได้มากกว่าไปจ้างคนทำงานแบบวันนี้จ้างคนหนึ่ง วันต่อไป
จ้างอีกคนหนึ่ง
ส่วน วิลเลียมสัน ซึ่งได้รางวัลในปี 2552 ชี้ว่า “การที่บริษัทกลุ่มหนึ่งเลือกทำธุรกิจร่วมกันบ่อยๆ ก็มาจากความไว้วางใจกัน” และนำไปสู่การทำงานแบบมีส่วนร่วมไม่ใช่ต่างคนต่างอยู่เพราะเห็นว่าเป็นคนละบริษัท เช่น บริษัทรถยนต์กับซัพพลายเออร์ เนื่องจากซัพพลายเออร์คือบริษัทที่รับผลิตชิ้นส่วนป้อนเข้าโรงงานผลิตรถยนต์ ดังนั้นบริษัทผลิตรถยนต์ก็ต้องไว้ใจซัพพลายเออร์ด้วย
อย่างไรก็ตาม “เมื่อโลกพัฒนามาถึงยุคดิจิทัล..ดูเหมือนผู้คนจะเริ่มมองว่าโลกนี้ไม่มีอะไรน่าไว้ใจได้เลย (Zero Trust World หรือ Trustless World)” โดยเฉพาะเมื่อบนอินเตอร์เนตเต็มไปด้วยข่าวปลอม (Fake News) แถมระยะหลังๆ ยังมาในรูปแบบคลิปวีดีโอปลอมจากเทคโนโลยี Deep Fake ที่แนบเนียนจนแยกแยะได้ยาก ข่าวปลอมเหล่านี้ทำให้เกิดความขัดแย้งทางการเมือง หรือส่งผลกระทบต่อสุขภาพ
จากวิกฤตแห่งความไว้ใจที่เกิดขึ้น จึงนำมาซึ่งแนวคิด “ใช้เทคโนโลยีเพื่อสร้างความเชื่อมั่น” เช่น เทคโนโลยี “บล็อกเชน (Blockchain)” ซึ่งใส่ข้อมูลอะไรลงไปแล้วลบหรือเปลี่ยนแปลงแก้ไขทำได้ยากมาก ถูกนำมาใช้สร้างความเชื่อมั่นกับสกุลเงินดิจิทัลยอดฮิตอย่าง “บิตคอยน์ (Bitcoin)” ด้วยสมมุติฐานว่าโลกอินเตอร์เนตไว้ใจใครไม่ได้ จึงต้องมีเทคโนโลยีมารับประกันว่า เงินบิตคอยน์ที่ใช้กันนั้นจะเป็นเงินจริงเพื่อป้องกันการถูกโกงเวลาซื้อ-ขายสินค้า
“มีความคิดว่า ถ้า Bitcoin คือเทคโนโลยีที่สามารถสร้าง Trust ได้ในโลกที่มั่นเป็น Trustless World ก็สามารถเอา Blockchain มาใช้กับสารพัดเรื่องได้ ยกตัวอย่างเอามารับประกันเพชรที่ขุดขึ้นมาไม่ใช่ Blood Diamond และเป็นเพชรจริง ความเชื่อแบบนี้ก็อยู่ในวงการเทคโนโลยีพอสมควร แต่ผมจะชี้ว่าวิธีคิดแบบนี้มีปัญหาอย่างยิ่งและมีจุดอ่อน นั่นก็คือสิ่งที่ Blockchaim รับประกันได้ว่าเพชรนั้นเป็นเพชรจริงมันจะต้องอาศัยระบบการออกใบรับรอง (Certification) ของเพชร นับตั้งแต่เพชรที่ขุดขึ้นมา
ต้องมีใครสักคนไปดูว่าเพชรเม็ดนี้ไม่ได้เป็น Blood Diamond แต่เป็นเพชรที่ขุดขึ้นมาอย่างถูกต้องจริง แล้วก็เอาใบรับรองนั้นใส่เข้าไปใน Blockchain แล้ว Blockchain ก็เป็นฐานข้อมูลที่ไม่สามารถลบได้ ฉะนั้นคนก็เชื่อว่าจะโกงไม่ได้ แต่ทุกท่านก็จะทราบว่าท่านจะไปรับประกันเพชรจริงๆ ได้อย่างไร ในเมื่อเพชรเม็ดจริงกับเพชรที่อยู่ใน Blockchain ซึ่งมันเป็นเพียงข้อมูลดิจิทัล เป็นคนละส่วนกัน ในข้อมูลอาจเป็นใบรับรองที่ไม่ถูกปลอมแปลง แต่ระหว่างขนส่งเพชรเราจะรู้ได้อย่างไร นี่คือจุดอ่อนสำคัญของแนวคิด Trustless World” สมเกียรติ ระบุ
สมเกียรติ กล่าวเพิ่มเติมในประเด็นนี้ว่า เพชรอาจมีข้อได้เปรียบเพราะแต่ละเม็ดมีลวดลายไม่เหมือนกัน จึงสามารถนำลวดลายนี้ใส่เข้าไปเป็นฐานข้อมูลใน Blockchain ได้ แต่หากเป็นสินค้าอย่างผัก-ผลไม้ ยารักษาโรค จะทำอย่างไร อีกทั้งในความเป็นจริง “ความไว้วางใจไม่ได้อยู่เฉพาะขั้นตอนใดขั้นตอนหนึ่ง แต่ต้องมีในทุกขั้นตอนตั้งแต่การผลิต การกระจายสินค้า ฯลฯ ตั้งแต่ต้นจนจบ” จึงแทบไม่มีวิธีใดที่ป้องกันได้ 100%
ขณะเดียวกัน “การมุ่งเน้นการใช้เทคโนโลยีอย่างมากเกินไปเพื่อสร้างความเชื่อมั่นก็มีต้นทุนสูงมาก” เช่น เหมือง Bitcoin ใช้ไฟฟ้า 96 TWh ต่อปี มากกว่าชาวฟิลิปปินส์ใช้ไฟฟ้ารวมกันทั้งประเทศ และการใช้พลังงานอย่างมหาศาลแบบนี้ยังส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม แต่ก็ไม่มีอะไรรับประกันได้เลยว่าจะไม่มีการปลอมแปลง เพราะเทคโนโลยีนั้นป้องกันได้ก็เพียงการปลอมแปลงข้อมูล แต่ไม่ใช่กับการปลอมสิ่งของในโลกจริง
และเอาเข้าจริงๆ แล้วคงต้องย้อนกลับไปถามว่า “โลกเราไม่มีอะไรไว้ใจได้ (หรือเชื่อใจใครไม่ได้) เลยจริงหรือ?” หนึ่งในตัวอย่างที่น่าสนใจคือผลสำรวจในปี 2564 จากสถาบันพระปกเกล้า ว่าด้วยความเชื่อมั่นของสังคมไทยต่อองค์กรต่างๆ ซึ่งแม้บางองค์กรจะถูกมองว่ามีปัญหาในเชิงภาพลักษณ์ เช่น ตำรวจ พรรคการเมือง หรือแม้กระทั่งสื่อมวลชน แต่ในภาพรวมความน่าเชื่อถือก็ยังค่อนข้างสูงโดยอยู่ที่ร้อยละ 70-80
หรือแม้นักการเมืองจะถูกมองว่าไม่น่าเชื่อถือ แต่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) กลับได้คะแนนความน่าเชื่อถือสูงมาก ซึ่งปัจจัยสำคัญคือ “ความรู้สึกใกล้ชิดจากการได้พบปะพูดคุยกันต่อหน้า (Face-to-Face Interaction)” ซึ่งแตกต่างในโลกอินเตอร์เนตที่ข้อมูลข่าวสารต่างๆ ไม่รู้ว่าใครเป็นผู้สร้างหรือเผยแพร่ และแม้กระทั่งในโลกอินเตอร์เนตที่ถูกมองว่าเชื่อถือไม่ได้เลย ก็ยังมีความพยายามทำให้เกิดความน่าเชื่อถือขึ้นมา เช่น สำนักข่าวออนไลน์ต่างๆ จนถึงเครือข่ายอย่างโคแฟคที่ร่วมตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูล
“เทคโนโลยี อัลกอริทึม มันช่วยได้เพียงบางส่วน เช่น ตัวข้อมูลข่าวสารระหว่างส่งว่ามันไม่ถูกปลอม แต่ถ้าข่าวมันเป็นข่าวปลอมตั้งแต่ต้น อัลกอริทึมไม่สามารถช่วยได้ อย่างมากก็เป็นเครื่องมือเล็กๆ ในองค์ประกอบหลายอย่าง ซึ่งยังต้องใช้มนุษย์ ยังต้องใช้ความเชื่อใจ” ปธ. TDRI ฝากข้อคิด
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี