ย้อนประวัติศาสตร์! พระมหากษัตริย์ในสถานการณ์สู้รบ ทุกพระองค์มุ่งสร้างความเจริญ คนไทยจะรับมืออย่างไรเมื่อมีคนกลุ่มหนึ่งพยายามลิดรอนพระราชอำนาจ หวังซื้อขายประเทศสะดวกขึ้น-กลับประเทศไทยง่ายขึ้น
5 ตุลาคม 2565 พล.ท.นันทเดช เมฆสวัสดิ์ อดีตหัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการพิเศษ ศูนย์รักษาความปลอดภัยแห่งชาติ (ศรภ.) โพสต์เฟซบุ๊ก “พลโท นันทเดช เมฆสวัสดิ์” เรื่อง “ประเทศไทยในสถานการณ์สู้รบ” ตอนที่ 1 และ 2 มีรายละเอียดดังนี้...
ประเทศไทยในสถานการณ์สู้รบ ตอนที่ 1
สยามฝ่าพายุร้ายจากตะวันตก ที่พัดกระหน่ำซัดใส่มานานแสนนาน นับเกือบ 200 ปีแล้ว แต่พระมหากษัตริย์ทุกพระองค์ ทรงได้ปรับปรุง เปลี่ยนแปลง ภูมิทัศน์ และแนวตั้งรับของประเทศไว้ได้อย่างเหมาะสม โดยทรงภารกิจ จัดวางโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจ เครื่องมือสนับสนุนการประกอบอาชีพ ให้ราษฎร และทรงคุ้มเกล้าให้กำลังใจ ความหวัง ร่วมทุกข์ร่วมสุขกับประชาชนตลอดมา
โดยเฉพาะในรัชสมัยอันยาวนานของในหลวงรัชกาลที่ 9 ที่ทำให้คนไทยได้มองเห็น และเข้าใจถึง “สิ่งดีๆ” ที่เคยเกิดขึ้นในวันก่อน ซึ่ง “สิ่งดีๆ” เหล่านั้น จะอยู่มาจนถึงวันนี้หรือไม่ ก็ขึ้นอยู่คนไทยหลากหลายวัยในยุคปัจจุบันนี้ว่าจะช่วยกันรับมืออย่างไร เมื่อมีคนกลุ่มหนึ่งพยายามลิดรอนพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ไทย ที่อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ ให้ลดน้อยลงไป เหลือเป็นเพียง “สัญลักษณ์” หรือสาบสูญไป
เพียงหวังอย่างเดียวว่า “ถ้าเป็นผลสำเร็จ พวกเขาจะซื้อขายประเทศไทยกันได้สะดวกยิ่งขึ้น รวมถึงการเดินทางกลับประเทศไทยของคนอีกกลุ่มหนึ่งก็จะง่ายขึ้นด้วย”
นอกจากนั้นก็ยังมีอีกหลายประเทศ ที่ไม่อยากให้ประเทศไทยเติบโตไปมากกว่านี้อีก เพราะจะส่งผลกระทบต่อสถานภาพของประเทศพวกเขา จึงได้เข้ามาผสมโรง สนับสนุนคนกลุ่มนี้
เรียงความตอนที่ 1 เนื่องในวันคล้ายวันสวรรคตพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราชบรมนาถบพิตร วันที่ 13 ตุลาคม 2565
999999999999
ประเทศไทยในสถานการณ์สู้รบ ตอนที่ 2
ตอนที่ 2 : เปรียบเทียบการใช้พระราชอำนาจของในหลวงรัชกาลที่ 5 และ ในหลวงรัชกาลที่ 6 กับการใช้อำนาจของรัฐบาลคณะราษฎร ว่า ตรงส่วนไหนที่จะทำให้ประเทศไทยดีขึ้น
รัชสมัย ร.5 พระองค์ทรงใช้พระราชอำนาจอย่างเต็มที่หลายเรื่อง เพื่อปรับปรุงพัฒนาประเทศให้ทันสมัย เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้ว ที่สำคัญ คือ
(1) การกำหนดขอบเขตแผ่นดินสยาม (สยามไม่เคยมีเส้นเขตแดนชัดเจนมาก่อน)
(2) การเลิก ไพร่ / ทาส
(3) การลงทุนปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานของประเทศทุกด้าน (ตลอด 25 ปีของรัฐบาลคณะราษฎร ไม่เคยทำเรื่องโครงสร้าง อย่างจริงจังเลย มาเกิดขึ้นในสมัยรัฐบาล พล.อ.เปรม เป็นครั้งที่2 แล้วก็เลยมาที่รัฐบาลลุงตู่ นี่แหละ เป็นครั้งที่3 น่าเศร้าใจไหมครับ)
(4) การปูพื้นฐานทางด้านประชาธิปไตย เช่น การเลือก กำนัน/ผู้ใหญ่บ้าน , การให้อำนาจตัดสินคดีแก่ศาล , การส่งนักเรียนทุนหลวงไปศึกษาต่างประเทศ ฯลฯ
แต่นักเรียนทุนบางคนกลับมาทำปฏิวัติผู้ส่งไปเรียนเสียเอง รวมทั้งจับกุมนักเรียนทุนที่ไม่เห็นด้วยไปขังคุก โดยตั้งศาลพิเศษ (ญี่ปุ่นซึ่งมีความเจริญไล่ๆกันกับไทย และมีรัฐธรรมนูญที่จักรพรรดิมีอำนาจเหนือรัฐธรรมนูญ ได้นักเรียนทุนกลับมาพัฒนาประเทศ เจริญก้าวหน้าไปกว่าไทย ทั้งที่ส่งคนไปเรียนพร้อมๆกัน จำนวนคนไปเรียนก็พอๆกันประมาณ 400 คน)
ในรัชสมัย ร.6 พระองค์ ทรงหาทางแก้ไขการทำสัญญาทางการค้า ที่เสียเปรียบต่างชาติ ดังนั้นพระองค์ทรงใช้พระราชอำนาจ ในสงครามโลกครั้งที่ 1 ประกาศสงครามกับเยอรมัน ท่ามกลางคำคัดค้านของทหาร และขุนนาง เมื่อชนะสงคราม สยามก็ได้รับการค้ำประกันอิสรภาพ ในฐานะสมาชิกผู้ก่อตั้งองค์การสันนิบาตชาติ และได้รับการแก้ไข สัญญาที่ไม่เป็นธรรมทุกฉบับ รวมถึงการซื้อเครื่องบินจำนวนมาก กลับมาใช้ในราชการไทย
(จอมพล ป.เข้าร่วมกับญี่ปุ่น ประกาศสงครามโลกครั้งที่ 2 กับประเทศกลุ่มพันธมิตร โชคดี ที่ ม.ร.ว.เสนีย์ ทูตไทย ประจำสหรัฐฯไม่ยอมรับคำสั่งรัฐบาล จัดตั้งกลุ่มเสรีไทยขึ้น และส่งคนไปจัดตั้งที่อังกฤษ เพิ่มขึ้นอีก
ต่อมานายปรีดี ได้จัดตั้งขบวนการต่อต้านญี่ปุ่นขึ้นในไทย ซึ่งได้กลายเป็นจุดประสานงานของกลุ่มเสรีไทย เมื่อสงครามจบ ไทยยกเอาเรื่องเสรีไทยขึ้นมาอ้าง สหรัฐฯยอมรับ แต่อังกฤษ จะเอาไทยเป็นรัฐในอารักขาของอังกฤษ ประชาชนเดือดร้อนกันมาก ม.ร.ว.เสนีย์ ใช้ความเป็นทูตประจำสหรัฐฯ เจรจาจนสำเร็จแม้จะเสียเปรียบบ้างก็ตาม )
นอกจากนั้น ในหลวง ร.6 ยังทรงระดมสร้างโครงงานพื้นฐานของประเทศต่อจาก ร.5 จนสำเร็จหมดทุกโครงการ จากการกู้เงินในตลาดการเงินยุโรปเพื่อนำมาลงทุน เพิ่มเติม รวม 5 ล้านปอนด์ เมื่อโครงงานเสร็จ การค้าขาย นาข้าว การขนส่ง ฯลฯ ก็เจริญก้าวหน้าขึ้น เศรษฐกิจเริ่มดีมากขึ้น รัฐบาลก็ทยอยได้รับเงินคืนมามากขึ้นเช่นกัน
ดังนั้น เมื่อ ร.7 เสด็จขึ้นครองราชย์ในปีที่ 2 ทรงสามารถใช้เงินกู้จำนวนนี้ได้ครบถ้วน โดยไม่ต้องตั้งงบประมาณแผ่นดินแต่อย่างไร
“สยาม” จึงเป็นประเทศเดียวในเอเชียที่มีทั้งความสงบ และเจริญ ในลำดับ 1 ของเอเชีย”
(ในขณะที่ทางรัฐบาลคณะราษฎร หลังสงครามโลก ครั้งที่ 2 ยุติลง ได้กู้เงินเช่นกัน แต่ไม่ได้นำมาสร้างโครงสร้างพื้นฐาน คงนำมาแก้ไขปัญหาเผชิญหน้าของรัฐบาล ในตอนนั้น ทำให้ต้องตั้งงบประมาณแผ่นดินเพื่อใช้คืนเงินกู้ บ้านเมืองในขณะนั้น แบ่งฝ่ายจากภายในคณะราษฏรด้วยกันเอง บ้านเมืองก็เต็มไปด้วยโจร ประชาชนไร้ความสงบสุข คณะราษฎรเองก็มาถึงจุดแตกแยก ชิงอำนาจกันเอง จนเกิดเผด็จการทางสภาฯขึ้น )
ติดตามตอนที่ 3 ; ในหลวง ร.7 และ ร.8 ทรงช่วยรัฐบาล คณะราษฎร เรื่องอะไรบ้าง
-005
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี