วันเสาร์ ที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2568
“..ที่บ้านอยู่กำแพงเพชร จะไปขายไตปลาเตาถ่าน..” คำตอบสั้นๆ แต่ด้วยน้ำเสียงที่สัมผัสได้ถึงความหวัง ของ “น้องแหวว” ฐิตา สำเภารอด หนึ่งในเยาวชนของ ศูนย์พัฒนาศักยภาพและอาชีพคนพิการจังหวัดนครศรีธรรมราช อ.ท่าศาลา จ.นครศรีธรรมราช กล่าวในวงเสวนาเมื่อครั้งคณะทำงานของกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) และสื่อมวลชน ร่วมศึกษาดูงาน ณ ศูนย์แห่งนี้ ช่วงปลายเดือน ก.ย.-ต้นเดือน ต.ค. 2565 ที่ผ่านมา
น้องแหวว อาศัยอยู่ที่นี่มานานกว่าสิบปี ได้รับการฟื้นฟูพัฒนาการทางร่างกายและจิตใจ รวมถึงฝึกทักษะอาชีพจนสามารถดูแลและหาเลี้ยงตนเองได้ จึงฝันว่าจะได้กลับไปใช้ชีวิตยังบ้านเกิดที่จากมาในอนาคตอันใกล้ เช่นเดียวกับ
“น้องเมย์” วาสนา พุมมา อีกหนึ่งเยาวชนในศูนย์ฯ ที่บอกเล่าถึงความประทับใจจาก “โครงการพัฒนาทักษะการแปรรูปอาหารของผู้พิการ” ว่า “..ส่วนมากก็จะชอบออกกำลังกาย เกี่ยวกับโยคะ เพราะทำให้เราแข็งแรงขึ้น จะทำให้ได้ไม่เจ็บไม่ไข้ ชอบทำอาหาร เช่น ไส้กรอกอีสาน แฮมเบอร์เกอร์ แล้วก็ส่วนมากจะเป็นน้ำเต้าหู้สด อะไรแบบนี้..”
ทั้งน้องแหววและน้องเมย์ รวมถึงเพื่อนๆ เยาวชนอีกหลายคนในศูนย์พัฒนาศักยภาพและอาชีพคนพิการจังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นกลุ่มที่ได้รับคัดเลือกเข้าร่วมโครงการพัฒนาทักษะการแปรรูปอาหารของผู้พิการ ซึ่งมีแม่งานคนสำคัญคือ “อาจารย์แอน” ผศ.ดร.วิสาขะ อนันธวัช อาจารย์หลักสูตรวิทยาศาสตร์อาหารและนวัตกรรม สำนักวิชาเทคโนโลยีการเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ (อ.ท่าศาลา จ.นครศรีธรรมราช) โดยเริ่มตั้งแต่การเขียนแผนโครงการเสนอขอรับทุนสนับสนุนจาก กสศ. จนถึงการเข้ามาทำงานร่วมกับครูพี่เลี้ยงในศูนย์ฯ
จุดเริ่มต้นของโครงการนี้ ผศ.ดร.วิสาขะ เล่าว่า มีวันหนึ่งได้รับการติดต่อจากผู้อำนวยการศูนย์ฯ แห่งนี้ อยากให้ช่วยเหลือเรื่องทำอย่างไรการแปรรูปแกงไตปลาจึงจะเก็บรักษาได้นานขึ้น โดยหลังจากผ่านขั้นตอนประสานกับทางมหาวิทยาลัย และการอนุมัติเงินทุนจาก กสศ. แล้ว จึงได้ชวนทีมงานทั้งที่เป็นบัณฑิตเพิ่งจบใหม่ และนักศึกษาปี 2-3 มาร่วมด้วยเพื่อเรียนรู้จากการทำงานจริง พร้อมกับการดึงผู้เชี่ยวชาญหลายด้านมาร่วมสนับสนุนอย่างครบวงจร เช่น ธนาคารออมสิน (สำนักงานภาค 17) โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) เป็นต้น
“คิดว่าจะได้คุยกับท่าน ผอ. แค่คนเดียว แต่จำได้วันนั้นท่านก็ตั้งโต๊ะ แล้วก็มีอยู่ประมาณ 7 คน อาจารย์ก็บอกว่าความชำนาญของอาจารย์มันคือการแปรรูปผลผลิตทางการเกษตร ให้อาจารย์ไปทำอย่างที่ท่านทำ มัดย้อมกระเป๋า อาจารย์เขียนเข้าไป ไม่ได้ใจแน่เลย เพราะเหมือนไม่ใช่ Field (สายงาน) ของอาจารย์ ก็เลยบอกว่าขอเป็นอาหารนะ แล้วอาจารย์ก็คิดและคุยกับท่าน ผอ. ก็ตกผลึกการทำงานภาคสนามที่ กสศ. กสศ. ก็น่ารัก นัดสัมภาษณ์ ก็บอกเหมือนที่อาจารย์เล่าให้ฟัง พอได้มาปุ๊บก็มีกิจกรรม จะทำอะไรบ้าง
ก็จะมีสุขภาวะ ก็เชิญท่าน ผอ.รพ.สต. ก็ทำเรื่องสุขภาวะให้เด็ก แล้วก็มีเรื่องการเงิน ก็เชิญคนชำนาญคือออมสินภาค 17 ต้องบอกว่าออมสินภาค 17 น่ารักมาก มาทั้งทีมทุกครั้งที่มา ส่งผู้เชี่ยวชาญมา แล้วก็ขนมมา น้ำมา ก่อนมาเขาก็จะบอกมาศูนย์คนพิการ ทุกคนจะรวบรวมขนมนมเนย แล้วกิจกรรมถ้าถามน้อง น้องจะมีความสุข เราจะเห็นสีหน้ายิ้มแย้มและยกมือตอบ แล้วก็จะมีเรื่องแปรรูปผลผลิตของอาจารย์ ทำเสร็จแล้วมันต้องขาย ก็เชิญอาจารย์ที่เขาชำนาญด้านการขายมาขาย แต่หลักๆ เลยมาทำให้น้องสนุก” ผศ.ดร.วิสาขะ กล่าว
แม้จะเป็นอาจารย์มานาน แต่ลูกศิษย์ที่ผ่านๆ มาคือนักศึกษาระดับปริญญาตรี ดังนั้นเมื่อต้องมาให้ความรู้-ฝึกทักษะกับเยาวชนที่เป็นผู้พิการก็ต้องปรับวิธีการสอนให้เหมาะสมกับผู้เรียน โดยเป็นการผสมผสานระหว่างกิจกรรมสันทนาการ “ร้อง-เต้น-เล่นเกม-พูดคุย” กับการฝึกทักษะการทำอาหารหลากหลายชนิด ซึ่ง “อาหารที่ฝึกแปรรูปกันนั้นมาจากความต้องการเรียนรู้ที่ผู้เรียนเสนอขึ้นมา” เช่น กล้วยทอด แฮมเบอร์เกอร์ ซูชิ ฯลฯ
เมื่อถึงขั้นตอนฝึกอบรม อาจารย์แอน กำชับทีมงานว่า “ต้องให้น้องๆ ได้ทำเองทุกขั้นตอน” ซึ่งอาหารบางชนิดก็ไปชวนผู้เชี่ยวชาญมาช่วยสอน เช่น เบเกอรี่ มาจากร้านดังในพื้นที่ อ.ท่าศาลา จนกลายเป็นทักษะซึมซับเข้าไปในตัวของผู้เรียนโดยไม่รู้ตัว “แม้เด็กแต่ละคนจะมีความถนัดแตกต่างกันหรือความชำนาญไม่เท่ากัน..แต่ก็ต้องเปิดโอกาสให้ทุกคนได้ลองทำ” เช่น ในการทำไก่ฝอย มีเด็กคนหนึ่งเพื่อนๆ บอกว่าคนนี้ทอดไก่ไม่ได้ แต่อาจารย์เชื่อว่าทำได้ โดยให้ลองลงมือทอดและยืนอยู่ข้างๆ กระทั่งทอดได้ ซึ่งเมื่อทอดได้ครั้งหนึ่งก็เกิดความภูมิใจและมั่นใจในตนเองขึ้นมา
ผศ.ดร.วิสาขะ ยังกล่าวอีกว่า “โครงการนี้ไม่เพียงสอนเยาวชนผู้พิการ แต่ยังสอนอาจารย์และนักศึกษาที่เป็น
ทีมงานด้วย ซึ่งเชื่อว่าหลังจากนี้เมื่อนักศึกษาได้ออกไปทำงานจะมีความยืดหยุ่นมากขึ้น” ขณะที่โครงการพัฒนาทักษะการแปรรูปอาหารของผู้พิการ ระยะที่ 2 ในปีถัดไป จะเน้นไปที่การฝึกอบรมครูพี่เลี้ยงในศูนย์พัฒนาศักยภาพและอาชีพคนพิการจังหวัดนครศรีธรรมราชมากขึ้น เพื่อให้การเรียนการสอนแบบนี้ที่ศูนย์ฯ ยังคงอยู่ต่อไป แม้ในวันข้างหน้า ทีมงาน ม.วลัยลักษณ์ จะถอยออกไปแล้วก็ตาม
จากจุดเริ่มต้นที่ความต้องการแก้ปัญหาแกงไตปลาแปรรูปแล้วเก็บได้ไม่นาน กลายเป็นโครงการที่ทำให้เยาวชนผู้พิการมองเห็นความหวังในชีวิต ซึ่ง อรอนงค์ คำแหง ผู้อำนวยการศูนย์พัฒนาศักยภาพและอาชีพคนพิการจังหวัดนครศรีธรรมราช กล่าวว่า ม.วลัยลักษณ์ มีทั้งอาจารย์คุณภาพและนักศึกษาซึ่งเป็นคนรุ่นใหม่ไฟแรง การที่ได้ทีมงานจาก ม.วลัยลักษณ์ เข้ามาสนับสนุน จึงทำให้เจ้าหน้าที่ของศูนย์ฯ ได้เติมเต็มส่วนที่ขาด ซึ่งเจ้าหน้าที่แม้จะชำนาญงานด้านปฏิบัติ แต่ก็ต้องเรียนรู้ด้านทฤษฎี เพื่อให้สามารถพัฒนาคุณภาพชีวิตเยาวชนได้อย่างสมบูรณ์
“ก็พยายามย้ำทุกครั้งที่อาจารย์เข้ามาให้กับกลุ่มพี่เลี้ยงและเจ้าหน้าที่คนอื่นๆ ว่าเราต้องมีส่วนร่วมเรียนรู้และร่วมลงมือทำกับอาจารย์ อย่าปล่อยให้อาจารย์ทำกลุ่มของอาจารย์อย่างเดียว ไม่เช่นนั้นจะไม่ประสบความสำเร็จ แล้วอาจารย์ก็จะไม่เห็นน้ำใจของเรา อยากให้อาจารย์เห็นว่าเรามีความตั้งใจที่จะร่วมมือกับอาจารย์ อยากให้มีใจแลกใจต่อกัน และหวังว่าในอนาคตอาจารย์จะมาทำกับเราอีก” ผอ.อรอนงค์ กล่าว
ด้าน “ครูติ๊ก” วิลาวัลย์ วรรณประดิษฐ์ ครูพี่เลี้ยงประจำศูนย์พัฒนาศักยภาพและอาชีพคนพิการจังหวัดนครศรีธรรมราช กล่าวเสริมว่า โครงการที่ศูนย์ฯ ทำงานร่วมกับทีมของ ม.วลัยลักษณ์ ยังสร้างนิสัยให้เยาวชนในศูนย์ฯมีกิริยามารยาทดีขึ้น มีความรับผิดชอบตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายมากขึ้น ซึ่งที่ศูนย์แห่งนี้มีแปลงเกษตรสำหรับเรียนรู้ด้านการปลูกผักด้วย โดยเฉพาะที่เห็นได้ชัดเจนคือ การทะเลาะเบาะแว้งกันลดลง จากเดิมที่มีเรื่องมีราวให้ครูต้องช่วยแก้ปัญหาแทบทุกวัน
“เขารู้สึกว่าพอได้ปลูกผัก เขาชอบ เราต้มถั่วเราขายด้วย เราให้เขากินด้วย แล้วพอขายได้ เรามีเงิน เราก็ทำโครงการให้เขา อยากกินอะไร? เขาบอกอยากกินส้มตำ เดี๋ยวจัดส้มตำให้เราก็ทำส้มตำ มีแกนนำทำส้มตำให้น้องๆ ทุกคนกิน คือไม่ใช่พี่เลี้ยงทำ เด็กเขาจะทำของเขาเอง ทุกคนก็จะมีส่วนร่วมทำ” ครูติ๊ก กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี