ได้กล่าวไว้แล้วว่า การมีวัฒนธรรมไทยที่ดี มีส่วนสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจและความมั่นคงทางสังคมให้แก่ประเทศไทยเป็นอย่างมาก
แล้วยังไม่พออีกหรือ ที่ประเทศไทยจะอยู่ไม่รอดทั้งๆ ที่มีความมั่นคงทางเศรษฐกิจและทางสังคม (ที่รอการพัฒนาให้เข้มแข็งขึ้นจากกระทรวงวัฒนธรรม, กระทรวงศึกษาธิการ, กระทรวงการท่องเที่ยวและการกีฬา ฯลฯ) แล้ว
ไม่ต้องพูดถึงภัยสงคราม ภัยจากมหาอำนาจ ที่สามารถใช้ความรุนแรงทางอาวุธ (Hard Power) เข้ามาทำให้ประเทศเล็กๆ อยู่รอดไปไม่ได้ ยังมีภัยอื่นอีกที่ยังคุกคาม “ชาติไทย” และ “คนไทย” อยู่
ประการแรก
ได้แก่
สังคมผู้สูงอายุ
“สังคมผู้สูงอายุ” อันเป็นสถานการณ์อย่างหนึ่งที่อาจเป็นตัวถ่วง ให้เราอยู่ในสังคมโลกที่เต็มไปด้วยการแข่งขันได้ยาก
ตามเอกสารของมูลนิธิสถาบันวิจัยและพัฒนาผู้สูงอายุไทย (มส.ผส.) ในปี พ.ศ.2564 คนไทยมีประชากร 66.7 ล้านคน แต่มีผู้สูงอายุถึง 12.5 ล้านคนตกลงคนไทยประมาณ 4 คน ก็ต้องดูแลผู้สูงอายุ 1 คน หากหักจำนวนเด็กในวัยทารกและในวัยเรียนออกเสียสัก 12.5 ล้านคน คนไทยในวัยทำงาน 3 คนก็จะต้องดูแลผู้สูงอายุ เช่น พ่อแม่ของตน 1 คน และดูแลลูกในวัยศึกษาอีก 1 คน รวมเป็น 2 คน จึงเท่ากับว่า ในปี 2564 คนทำงานเพียง 3 คน ต้องรับผิดชอบผู้ที่ไม่ได้ทำงานอีก 2 คน
งบประมาณการเงินของรัฐสำหรับผู้สูงอายุปี 2564 ประมาณ 80,000 ล้านบาท เบี้ยหวัดบำเหน็จบำนาญข้าราชการปี 2564 อีก 270,000 ล้านบาท
รวมเป็น 350,000 ล้านบาท
หากลองมานั่งพิจารณาอีก 10 ปีข้างหน้า ประชากรไทยลดเหลือ 60 ล้านคน ในจำนวนนี้มีจำนวนผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นเป็น 20 ล้านคน คนไทย 40 ล้านคน ก็จะต้องดูแลผู้สูงอายุ 20 ล้านคน แต่ถ้าใน 40 ล้านคนนี้ กำลังเป็นเด็กหรืออยู่ในวัยเรียนเสีย 20 ล้านคน ก็จะเหลือเป็นคนทำงานเสียเพียง 20 ล้านคน ต้องดูแลผู้สูงอายุ 20 ล้านคน และเด็กในวัยเรียนอีก 20 ล้านคน
หรือนัยหนึ่ง คนทำงาน 1 คน ต้องเลี้ยงดูผู้สูงอายุ 1 คน และเด็กอีก 1 คน
เมื่อจำนวนคนเกิดลดลง จำนวนผู้สูงอายุมากขึ้น จำนวนคนทำงานก็น้อยลง GDP และภาษีรายได้ก็ต้องลดน้อยลง แล้วรัฐจะเอาเงินที่ไหนมาจ่ายเป็นสวัสดิการของรัฐสำหรับผู้สูงอายุและสำหรับเบี้ยหวัดบำเหน็จบำนาญของข้าราชการ ซึ่งก็จะเพิ่มขึ้นอีกเป็นจำนวนมาก
คิดแล้ว ก็ออกจะเห็นใจคนไทยรุ่นน้องและรุ่นลูกหลาน ที่อยู่ในวัย 20-50 ปี โดยเฉพาะคนที่ยัง “ชักหน้าไม่ถึงหลัง” หวังได้รับสวัสดิการของรัฐยามชรา ว่ารัฐจะมีเงินพอดูแลท่านหรือไม่
และเราจะอยู่รอดกันได้อย่างไร
เราจะหาแรงงานจากไหน มาเพิ่มผลผลิต เพิ่ม GDP และเพิ่มรายได้ให้รัฐบาล เพื่อนำไปใช้จ่ายในกิจการของรัฐ รวมทั้งสวัสดิการผู้สูงอายุ ที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
เราควรจะต้องคิดหาทางลัด โดยการย้อนไปคำนึงถึงอดีตเมื่อร้อยปีเศษ สมัยที่ประเทศไทยมีพลเมืองเพียง 7-8 ล้านคน และเพียง 11 ล้านคน (ปี พ.ศ.2472) และต่อมา 14 ล้านคน (ปี พ.ศ.2480) ประเทศไทยเราเปิดกว้างให้แก่ชาวต่างประเทศให้เข้ามาทำงาน ไม่ว่าจะเป็นงานรถไฟ งานไปรษณีย์ โทรเลขโทรศัพท์ งานตำรวจ งานป้องกันประเทศ งานเดินเรือ งานเดินอากาศ เราก็ได้ชาวต่างประเทศมาเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงพัฒนางานเหล่านี้ขึ้นมา
นอกจากนั้น เรายังต้องนำเข้าแรงงาน จากประเทศใกล้เคียง มาขุดคลองรังสิต, คลอง 1- คลอง 15, คลองสรรพสามิต การสร้างทางรถไฟ ฯลฯ แล้วเปิดโอกาสให้เขาได้อยู่ต่อไปในประเทศ และอาศัยวัฒนธรรมในส่วนที่เข้มแข็งและเป็น Soft Power ของเรา (เช่น ภาษาไทย ขนบธรรมเนียมไทย ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ความเมตตากรุณา ศิลปกรรมไทย สถาปัตยกรรมไทย ประเพณีไทย (สงกรานต์, ปีใหม่) การร้องรำทำเพลง, การทำบุญตักบาตร, ฯลฯ ทำให้ชาวต่างชาติเหล่านั้น ติดใจและซาบซึ้งในวัฒนธรรมของไทย และกลายเป็นกำลังคน (Man Power) อันสำคัญต่อมาจนทุกวันนี้
สิ่งเหล่านี้ เกิดขึ้นโดยพระบรมราโชบายอันชาญฉลาดและมองการณ์ไกล ของพระมหากษัตริย์และพระราชวงศ์ในอดีต ยิ่งถ้าคนต่างชาติเหล่านี้ มีผลงานดีมีความจงรักภักดี ก็ยังได้รับพระราชทานยศถาบรรดาศักดิ์ เป็นขุน หลวง พระ พระยา เจ้าพระยา บริหารประเทศและธุรกิจต่างๆ อยู่มากมายในปัจจุบัน รวมทั้งการใช้ภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitics) ที่เหมาะสมแก่บรรดาผู้ที่เข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภาร จากทิศทางต่างๆ รอบประเทศ
ปัจจุบัน ระบอบการปกครองระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภาของเรา ทำให้นโยบายต่างๆ ไม่สามารถต่อเนื่องได้ นักการเมืองไม่มีเวลาจะมาคิดสร้างชาติหรือคิดว่าทำอย่างไรประเทศไทยจะอยู่รอด (Survive) ในโลกแห่งการแข่งขัน เพราะมัวแต่คิดว่า ทำอย่างไรตน พรรคพวก และพรรคการเมืองของตน จึงจะอยู่รอด ทำอย่างไรจึงจะเข้าสู่อำนาจบริหารได้ เพื่อมีลู่ทางในการ “หากล้วย” ไว้ใช้เลี้ยงลิงต่อไป
จึงเห็น ข้าราชการประจำของกระทรวง ทบวง กรมต่างๆ นี่แหละ ที่มีความต่อเนื่อง (Continuity) ที่น่าจะยังมีอุดมการณ์ ความสามารถในการสร้างความคิด นำความคิดเพื่อความอยู่รอดของประเทศไทย ออกมาปฏิบัติในระยะยาวได้ รวมทั้งการนำนโยบายภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitics) มาใช้ให้เหมาะสม
ในเมื่ออดีต เรายังสามารถใช้อำนาจละมุน (Soft Power) ของเรา มาเป็นกำลังอันสำคัญในการพัฒนาประเทศจนถึงจุดในวันนี้ได้ ขณะนี้เราก็มีแรงงานต่างด้าว ที่เข้ามาอย่างถูกกฎหมาย โดย MOU ครั้งละ 3 ปี และไม่ถูกกฎหมาย โดยเดินเข้า-ออกประทับตรา ตม. ทุกๆ เดือน อีกไม่ต่ำกว่า 3 ล้านคน
เราก็น่าจะมีนโยบาย ทำให้เขาเหล่านี้ เป็นคนไทย เป็นกำลังคน (Man Power) ที่จะร่วมกันพัฒนาประเทศไทยสืบต่อไป ซึ่งวิธีการทางวัฒนธรรม ก็มีอยู่มากมาย เช่น
1.เปิดการสอนภาษาไทยระดับต่างๆ ให้แรงงานเหล่านี้ ได้เรียนในวันหยุดทำงาน โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย
2.สอนวัฒนธรรมไทย ศิลปกรรม จริยธรรม เพื่อเป็นกำลังคนที่ดีของไทยในอนาคต
3.เปิดสอบเทียบวุฒิโดย กศน. เพื่อการก้าวสู่ความมั่นคงของเขาในอนาคต
4.เปิดสอนวิชาชีพที่ประเทศเราต้องการให้แรงงานเหล่านี้
5.เข้าไปร่วมจัดงานรื่นเริงให้แก่แรงงานต่างด้าว ให้มีการรำวงประกวดร้องเพลงไทย แต่งกายไทย แข่งขันเรียงความภาษาไทย การกล่าวปาฐกถาภาษาไทย เป็นต้น โดยองค์การปกครองส่วนท้องถิ่น
6.ผู้ที่มีลูกหลานติดตามมา เรียนจนจบมัธยมปลาย หรือเรียนมหาวิทยาลัย ให้พ่อแม่ได้มีสิทธ์เป็นคนไทยได้ง่ายขึ้น
7.เปิดให้แรงงานชั่วคราวเหล่านี้ ให้ขอรับสัญชาติไทยได้ เมื่อได้ผ่านเกณฑ์ที่ทางการได้กำหนดไว้ (โดย มท., วธ., ศธ.) ร่วมมือกันวางเกณฑ์ที่ไม่ต้องให้เขาต้องไปเสียเบี้ยบ้ายรายทางอีก
ส่วนกฎเกณฑ์ควรจะเป็นอย่างไร ท่านสอบถามเอาจากคนไทยที่ไปได้สัญชาติอื่นมา ว่าเขามีวิธีวางกฎเกณฑ์อย่างไร การทดสอบอย่างไร ก็คงจะเป็นทางลัดได้
หากเราเริ่มคิด เริ่มทำเสียตั้งแต่บัดนี้ เราก็จะมีกำลังคนเข้ามาทดแทนกำลังจากจำนวนคนไทยปัจจุบัน ที่กำลังลดน้อยถอยลง แต่ต้องรับภาระผู้สูงอายุมากขึ้น ได้ทันการ
ปัญหาความอยู่รอด (Survival) ของชาติไทยและคนไทย ก็จะลดน้อยถอยลง
ประการที่สอง
ได้แก่
ความแตกต่างทางวัฒนธรรม
การอยู่รอดของชาติไทย อีกประการหนึ่ง ก็ได้แก่
การใช้วัฒนธรรมแบบอำนาจละมุน (Soft Power) เข้าไปใช้กับภูมิภาคหรือผู้คนในท้องถิ่นที่ยังนิยมความแตกต่าง ให้คนไทยเหล่านั้นรู้จักภาษาไทย พูดไทยได้ทุกคน เรียนโรงเรียนของกระทรวงศึกษาธิการ ตามหลักสูตรที่ใช้กันในราชอาณาจักรไทย
องค์การปกครองส่วนท้องถิ่น ก็ควรส่งเสริมให้วัฒนธรรมได้กลมกลืนกัน นอกจากการจัดพิธีไหว้ครู ในโรงเรียน จัดรำวงไทยในงานรื่นเริง การประกวดแบบไทย ก็ต้องมีการรวมวัฒนธรรมท้องถิ่นด้วย ไม่ว่าจะเป็นเซิ้งกระติ๊บข้าว หรือรำรองเง็ง หมอลำ หรือรำโนห์รา
วิธีนี้น่าจะได้ผลดีกว่าการใช้กำลัง (Hard Power) และสิ้นเปลือง
งบประมาณน้อยกว่ามาก
ข้าราชการประจำ จะต้องยึดหลัก “ลดความแตกต่าง สร้างความกลมกลืน เพื่อความยั่งยืน ของสังคมไทย” สืบต่อกันไปจากรุ่นสู่รุ่น โดยไม่ต้องรอนักการเมือง ซึ่งเปลี่ยนหน้ากันเข้ามาบ่อยๆ
ให้ทุกคนรู้สึกภาคภูมิใจ ในความเป็นคนไทย และความเป็นชาติไทย เดียวกัน
ว่า ที่นี่คือบ้านเกิด (Birth Place), เมืองนอน (Homeland) และแดนตาย (Eternal Sanctuary) ของพวกเราชาวไทย
และเราทุกคน ได้มีส่วนร่วมในการสร้างชาติไทย ขึ้นมา
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี