“ความยากจนข้ามรุ่น” และ “ความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา” ยังเป็นปัญหาใหญ่ของสังคมไทย โดยเฉพาะเยาวชนจากครอบครัวยากจนจำนวนมาก ไม่มีโอกาสเรียนหนังสือมากกว่าภาคบังคับ ซึ่ง ดร.ไกรยส ภัทราวาท ผู้จัดการกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) ระบุว่า ข้อมูลจากองค์การยูเนสโก พบไทยมีเยาวชนจากครัวเรือนฐานะยากจนที่สุดร้อยละ 20 ของประเทศ เพียง 8 ใน 100 คนเท่านั้นที่สามารถศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษาได้น้อยกว่าเด็กที่มาจากครัวเรือนร่ำรวยที่สุดร้อยละ 20 ของประเทศถึง 6 เท่า!
เยาวชนเหล่านี้ไม่ได้ขาดความสามารถและศักยภาพการเรียนรู้ หากแต่เป็นเพราะการเข้าไม่ถึงโอกาสทางการศึกษา จากเศรษฐานะของครอบครัวและปัจจัยอื่นๆ ที่ไม่เอื้อต่อการเข้าถึงโอกาส จึงทำให้เด็กไม่สามารถเรียนต่อ ทั้งนี้ มีผลวิจัยชี้ว่ามี “เด็กช้างเผือก (Resilient Students)” ซึ่งแม้จะมาจากครัวเรือนยากจนที่สุดของประเทศ แต่สามารถสอบผ่านเข้าเรียนในระดับอุดมศึกษาได้
ฐานข้อมูลของ กสศ. ระบุว่า “ปีการศึกษา 2565 มีเยาวชนจากครัวเรือนที่ยากลำบากที่สุด 20,018 คน หรือราวร้อยละ 14 ของจำนวนนักเรียนยากจนและยากจนพิเศษที่อยู่ในระบบการศึกษาชั้น ม.3 เมื่อปีการศึกษา 2561 สามารถสอบเข้าศึกษาต่อในระดับมหาวิทยาลัย” ซึ่ง ดร.ไกรยส มองว่า ตัวเลขนี้อาจเป็นจำนวนไม่มาก แต่นับว่ามีแนวโน้มที่เพิ่มขึ้น โดย กสศ. ได้เริ่มพัฒนากระบวนการคัดกรองนักเรียนยากจนพิเศษด้วยวิธีวัดรายได้โดยอ้อม (Proxy Means Test : PMT) ร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการ และกระทรวงมหาดไทย
เพื่อชี้เป้าหมายเด็กและเยาวชนที่มีชีวิตยากลำบาก ร้อยละ 15 ของประเทศ ให้ได้รับเงินอุดหนุนอย่างมีเงื่อนไข หรือทุนเสมอภาค จาก กสศ. ตั้งแต่ระดับอนุบาลถึงมัธยมศึกษาตอนต้น เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการเดินทางค่าครองชีพ ให้สามารถเรียนได้อย่างต่อเนื่อง เพราะกสศ.เชื่อว่าเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงหลุดนอกระบบการศึกษาเพราะความยากจนระดับรุนแรง แม้ว่ารัฐจะมีมาตรการเรียนฟรีก็ตาม และที่ผ่านมาได้พิสูจน์แล้วว่า กลไกของทุนเสมอภาคช่วยทำให้นักเรียนยากจนพิเศษมาเรียนมากขึ้น และทำให้จำนวนเด็กหลุดออกนอกระบบการศึกษาน้อยลงเป็นลำดับ
อย่างไรก็ตาม ในระหว่างการศึกษาและประเมินผลที่ กสศ.ทำตลอด 4 ปีที่ผ่านมา พบว่า “การทำให้เรื่องโอกาสทางการศึกษาเป็นเรื่องที่ยั่งยืนได้สำหรับนักเรียนยากจนพิเศษ คือการปิดช่องว่างระหว่างหน่วยงาน และเชื่อมต่อฐานข้อมูลในการส่งต่อนักเรียนยากจนพิเศษให้สามารถเข้าถึงทรัพยากรและเข้าถึงการศึกษาในระดับที่สูงขึ้น” ทั้งนี้ การสนับสนุนเด็กช้างเผือกได้รับการศึกษาสูงสุดอย่างเต็มศักยภาพ เป็นจุดเริ่มต้นของภารกิจของ “ระบบหลักประกันโอกาสทางการศึกษา” ที่ กสศ. ร่วมมือกับกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.)
รวมทั้งที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) ที่ประชุมคณะกรรมการอธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล และที่ประชุมมหาวิทยาลัยราชภัฏ ในการเชื่อมโยงข้อมูลนักเรียนยากจน/ยากจนพิเศษ ที่ศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษา ผ่านระบบ TCAS และส่งต่อข้อมูลไปยังมหาวิทยาลัยรัฐและเอกชนทั่วประเทศ เพื่อให้จัดหาทุนการศึกษาแก่นักเรียนที่ต้องการความช่วยเหลือ หรือการสนับสนุนอื่นๆ ที่จำเป็นอย่างรอบด้าน
การมีระบบหลักประกันโอกาสทางการศึกษา จะช่วยให้ประเทศไทยมีระบบสารสนเทศและฐานข้อมูลรายบุคคลและรายสถานศึกษาระยะยาว (Longitudinal Database) ครอบคลุมเด็กเยาวชนที่มาจากครัวเรือนซึ่งมีรายได้น้อยที่สุดของประเทศจำนวนมากกว่า 1.9 ล้านคนในระบบการศึกษาขั้นพื้นฐานเพื่อให้หน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องสามารถช่วยเหลือสนับสนุนและส่งเสริมให้เด็กเยาวชนเหล่านี้ไม่หลุดออกจากระบบการศึกษาและสามารถศึกษาต่อไปจนถึงระดับสูงสุดตามศักยภาพตั้งแต่ระดับปฐมวัยจนถึงระดับอุดมศึกษา
“ระบบหลักประกันโอกาสทางการศึกษา เป็นเครื่องมือให้หน่วยงานด้านนโยบาย สามารถกำหนดเป้าหมาย และติดตามความก้าวหน้าในการส่งเสริมความเสมอภาคทางการศึกษาตั้งแต่ระดับปฐมวัยถึงระดับอุดมศึกษาของประชาชนคนไทยจากครัวเรือนที่มีฐานะทางเศรษฐกิจและสังคมที่แตกต่างกัน เช่น หากกระทรวง อว. ต้องการกำหนดเป้าหมายด้านความเสมอภาคทางการศึกษา
ให้นักเรียนยากจน/ยากจนพิเศษมีโอกาสในการศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษาหรือเทียบเท่า ใกล้เคียงกับนักเรียนจากครัวเรือนที่มีฐานะดีในระดับเดียวกับกลุ่มประเทศรายได้สูงภายใน 10 ปี ระบบก็จะสามารถช่วยเป็นเครื่องมือในการจัดทำนโยบาย (Policy Instrument) และ เป็นเครื่องมือติดตามนโยบาย (Policy Monitoring) ในการลดความเหลื่อมล้ำจาก 6 เท่า เหลือ 1.4 เท่าได้” ดร.ไกรยส กล่าว
อนึ่ง “ตลอดเส้นทางหลักประกันโอกาสทางการศึกษาไม่เพียงใช้ความร่วมมือและทรัพยากรจากภาครัฐเท่านั้น แต่ยังเป็นฐานข้อมูลสนับสนุนการระดมทุนและทรัพยากรจากภาคเอกชน และประชาชนที่สนใจอยากร่วมสนับสนุนความเสมอภาคทางการศึกษา” ให้แก่เด็กเยาวชนที่ยังขาดโอกาสในการส่งเสริมพัฒนาอย่างเต็มที่ เช่น โครงการ “ลมหายใจเพื่อน้อง” ของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และ โครงการ “ก้าวเพื่อน้อง” โดยมูลนิธิก้าวคนละก้าว ที่ช่วยเหลือนักเรียนช่วงชั้นรอยต่อที่หลุดจากระบบให้กลับมาเรียน
หรือการที่ กสศ. ได้ร่วมมือกับบริษัทแสนสิริ และ SCB ในการออกหุ้นกู้ระดมทุนมูลค่า 100 ล้านบาท เพื่อทำงานในพื้นที่จังหวัดราชบุรีเป็นเวลา 3 ปี ในโครงการ “Zero Dropout เด็กทุกคนต้องได้เรียน” โดยมีเป้าหมายเพื่อลดจำนวนเด็กเยาวชนนอกระบบในจังหวัดให้เหลือศูนย์ โดย ดร.ไกรยส ชี้ว่า โอกาสทางการศึกษา คือการลงทุนที่สร้างผลกระทบและให้มูลค่าตอบแทนที่สูงที่สุดต่อประเทศ
โดยเฉพาะการสร้างระบบหลักประกันโอกาสทางการศึกษา ให้เด็กเยาวชนสามารถก้าวข้ามช่วงชั้น และพัฒนาตนเองในระดับการศึกษาที่สูงที่สุดเท่าที่ศักยภาพจะพาไปถึง ซึ่งจะส่งผลถึงรายได้จากการประกอบอาชีพหลังจบการศึกษา โดยประชากรกลุ่มนี้จะเป็นคนรุ่นแรกของครอบครัวที่จบการศึกษาสูงกว่าพ่อแม่ ที่เดิมมีค่าเฉลี่ยระดับการศึกษาสูงสุดเพียงชั้นประถมศึกษาหรือเทียบเท่า แล้วเมื่อวันที่คนรุ่นนี้มีรายได้สูงขึ้นกว่าคนรุ่นก่อน ย่อมหมายถึงการเปิดประตูสู่โอกาสในชีวิตที่มากกว่า
และแน่นอนว่า..จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงสถานะทางสังคม เศรษฐกิจ และหยุดวงจรความยากจนที่ส่งต่อกันจากรุ่นสู่รุ่นให้สิ้นสุดลง!!!
กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.)
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี