(ต่อจากฉบับวันพฤหัสบดีที่ 3 พ.ย. 2565)
ในยุคที่สังคมมีความผันผวนและเปลี่ยนแปลงแบบไม่ทันตั้งตัวส่งผลให้ผู้คนต้องเผชิญความเสี่ยงต่อการเกิดปัญหาสุขภาพจิตที่กระทบทั้งระดับบุคคล ครอบครัว ไปจนถึงสังคมโดยรวม นพ.ยงยุทธ วงศ์ภิรมย์ศานติ์ ที่ปรึกษากรมสุขภาพจิต เผยข้อมูลสถานการณ์สุขภาพจิตไทยในปัจจุบันว่า โรคทางจิตเวชที่พบบ่อย ซึ่งมีความชุกมากกว่าร้อยละ 5 ของจำนวนประชากร เช่น ซึมเศร้า วิตกกังวล ติดสารเสพติด เด็กสมาธิสั้น
ส่วนโรคทางจิตเวชที่มีความรุนแรง เช่น จิตเภท ไบโพลาร์ เด็กออทิสติก โดยมีการแบ่งปัญหาสุขภาพจิตเป็น 2 กลุ่มคือ กลุ่มป่วยและกลุ่มไม่ป่วย ซึ่งในกลุ่มไม่ป่วยก็สามารถมีปัญหาสุขภาพจิตได้ เช่น ปัญหาการฆ่าตัวตายที่มากกว่าร้อยละ 50 ไม่ใช่การเจ็บป่วยทางจิตเวช และความรุนแรงในสังคม มากกว่าร้อยละ 95 เกิดจากคนที่ไม่ได้ป่วยทางจิตเวช
“เนื่องจากประเทศไทยมีระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าที่ครอบคลุมโรคทางจิตเวช จึงทำให้มีอัตราการเข้าถึงบริการสูง แต่พบปัญหาสำคัญคือ ยังขาดคุณภาพของการดูแลอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สามารถกลับไปใช้ชีวิตได้ปกติ ซึ่งการดูแลด้านสุขภาพจิตไม่ใช่แค่การเข้าถึงบริการ แต่ควรได้รับการดูแลอย่างต่อเนื่อง ควบคู่กับการดูแลทางจิตสังคม เพื่อการรักษาอย่างมีคุณภาพ” นพ.ยงยุทธ ระบุ
สำหรับกรณีการตรวจสุขภาพจิตก่อนเข้ารับราชการ โดยมีการเสนอให้โรคทางจิตเวชที่มีอาการเด่นชัดรุนแรงหรือเรื้อรังเป็นลักษณะต้องห้าม นพ.ยงยุทธให้ข้อมูลและข้อสังเกตเพิ่มเติมว่า “โรคทางจิตเวชที่พูดถึงคือกลุ่มรุนแรง ซึ่งถ้ามีอาการรุนแรง แนวโน้มไม่น่าจะสามารถสอบผ่านเพื่อเข้าทำงานได้ แต่กว่าร้อยละ 90 มักพบว่ามีปัญหาสุขภาพจิตหลังจากที่เข้าทำงานแล้ว” ดังนั้นการปรับปรุงกฎ ก.พ. ที่มีเจตนาเพื่อให้ได้คนทำงานที่มีประสิทธิภาพ โดยเน้นการคัดกรองตั้งแต่แรกเข้าทำงาน อาจไม่เกิดประโยชน์ แต่อาจส่งผลกระทบทางลบตามมาแบบได้ไม่คุ้มเสีย
เช่น อาจทำให้เกิดการรังเกียจและตีตรา รวมถึงมีการหลีกเลี่ยง ไม่เข้ารับการรักษาหรือเข้ารับการรักษาโดยไม่ลงทะเบียน เพื่อไม่ให้มีประวัติในการรับราชการ ทั้งที่อาจเป็นแค่โรคซึมเศร้าที่สามารถรักษาแล้วกลับไปทำงานและใช้ชีวิตปกติได้ ส่วนคณะกรรมการการแพทย์ก็จะกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการตรวจที่ชัดเจนลำบาก ซึ่งสิ่งที่ควรให้ความสำคัญและขยายความ นพ.ยงยุทธ มองว่า แต่ละองค์กรควรมีระบบดูแลสุขภาพจิตของคนทำงาน
ตั้งแต่การป้องกันไปจนถึงการรักษา นอกจากตรวจสุขภาพกายประจำปีแล้ว ควรมีการตรวจสุขภาพจิตประจำปีด้วย โดย “หน่วยทรัพยากรมนุษย์ขององค์กรควรมีความเข้าใจเรื่องการดูแลสุขภาพจิตของคนทำงานทั้งกระบวนการ และใช้แนวคิดป้องกัน รักษา ฟื้นฟู เพื่อให้สามารถทำงานได้ปกติ” ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสังคมเกื้อกูลกัน และไม่ผลักคนเหล่านั้นไปเป็นปัญหาของสังคมโดยรวม
“ก่อนที่จะออกแบบระบบเรื่องใดๆ ก็ตามสิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้คือ ความรู้ในเรื่องนั้นๆ อย่างชัดเจนและถูกต้อง” โดย ทพ.จเร วิชาไทย ผู้จัดการงานวิจัย สวรส. ย้ำถึงความสำคัญขององค์ความรู้จากงานวิจัยว่า ปัญหาแต่ละเรื่องจะมีจิ๊กซอว์หลากหลายชิ้นที่เราต้องรวบรวมให้ครบ และหาขอบว่ามีเรื่องอะไรบ้างเป็นกรอบคิด ตลอดจนมีกระบวนการอะไรที่เกี่ยวข้องบ้าง
“ทุกกระบวนการล้วนต้องการองค์ความรู้จากงานวิจัยในการสนับสนุนทั้งสิ้น ตั้งแต่การออกแบบกฎหมาย การคัดกรอง การดูแลและรักษาโรค ไปจนถึงการพัฒนาคุณภาพชีวิตและการมีงานทำของกลุ่มจิตเวช/จิตสังคม นอกจากนั้น อคติและทัศนะของคนในสังคมก็ยังเป็นโจทย์ที่ต้องปรับเปลี่ยนกันยกใหญ่ เพื่อให้กลุ่มจิตเวช/จิตสังคมไม่ถูกตีตรา และรู้สึกปลอดภัย พร้อมที่จะเปิดเผยข้อมูลเพื่อการเข้าสู่กระบวนการรักษาให้อาการดีขึ้นและสามารถกลับมาเป็นทรัพยากรมนุษย์ที่มีคุณภาพของประเทศ” ทพ.จเร กล่าว
อีกทั้งยังมีข้อมูล mental health in workplace ระบุว่า “การมีงานทำช่วยให้คนมีสุขภาพจิตดี แต่งานก็ทำให้คนมีปัญหาสุขภาพจิต ดังนั้นสำนักงาน ก.พ. ซึ่งเป็นหน่วยงานหลักในการดูแลกำลังคนวัยทำงานของประเทศ ควรให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพจิตระหว่างการทำงาน ไม่น้อยไปกว่าการคัดกรองคนเข้าทำงาน” และถ้าหลักฐานทางการแพทย์ไม่มีประสิทธิผลที่จะนำมาใช้ในการคัดกรองคนเข้าทำงาน การดูแลสุขภาพจิตระหว่างทางก็น่าจะเป็นโจทย์วิจัยที่ต้องร่วมกันออกแบบ เพื่อประโยชน์ของสังคมโดยรวม และสนับสนุนให้คนไทยมีสุขภาพจิตที่ดีขึ้น
ทั้งนี้เวทีดังกล่าวยังมีการระดมสมองแลกเปลี่ยนความคิดเห็นถึงประเด็นปัญหาสุขภาพจิต จิตเวช และจิตสังคม ซึ่งข้อมูลจากผู้เข้าร่วมฟังเวทีเสวนาฯ ส่วนใหญ่สะท้อนว่า ปัญหาที่พบ หรือ Pain Point ของเรื่องดังกล่าวจะเป็นการขาดความรู้ความเข้าใจในเรื่องจิตเวชหรือคนพิการทางจิตสังคม ขาดระบบบริการดูแลอย่างต่อเนื่อง การนำเสนอของสื่อที่มักตีตราผู้ประสบปัญหา การเผยแพร่ข้อมูลความรู้ยังมีน้อยและเข้าไม่ถึง ขาดการสนับสนุนการพัฒนางานวิจัย เป็นต้น ซึ่งการแก้ไขปัญหาต้องการการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน
โดยมีแนวทาง เช่น การพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อช่วยให้เข้าถึงระบบบริการได้ง่ายและรวดเร็วขึ้น การจัดกระบวนการพูดคุยกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย การเลือกโจทย์วิจัยที่สามารถสร้างผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงเชิงระบบ ฯลฯ ซึ่งข้อมูลที่ได้จากการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น นอกจากสำนักงาน ก.พ. จะนำไปพิจารณาประกอบการร่างกฎ ก.พ. ให้มีความเป็นธรรมกับผู้ที่ได้รับผลกระทบ และสอดคล้องกับข้อเท็จจริงในสถานการณ์ปัจจุบันมากที่สุดแล้ว
สวรส.ก็จะรวบรวมทุกประเด็นเพื่อนำไปพัฒนากรอบและโจทย์วิจัย ตลอดจนการจัดกระบวนการจัดการความรู้ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เกิดการนำความรู้ไปใช้ประโยชน์ในการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นในสังคมต่อไป!!!
สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.)
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี