(ต่อจากฉบับวันที่ 12 พ.ย. 2565)
ยังคงอยู่กับงานสัมมนาวิชาการ “ปัญหาการสันนิษฐานไว้ก่อนว่าผิด ในกระบวนการยุติธรรมทางอาญาของประเทศไทย”จัดโดยคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งตอนที่แล้วกล่าวถึงผลกระทบจากแนวคิดเรื่องการประกันตัวที่เน้นการขังเป็นหลัก-ปล่อยเป็นรายกรณีไป ส่วนในตอนนี้จะว่าด้วยอีกปัญหาหนึ่งคือ “ประวัติอาชญากรรม” ที่ทำให้คนจำนวนมากไม่มีที่ยืนในสังคม โดยไม่แยกว่าจะเป็นความผิดแบบใด หรือแม้แต่ไม่แยกว่าคดีนั้นศาลตัดสินถึงที่สุดว่าผิดจริงแล้วหรือไม่
พล.ต.ต.เจนเชิง ประทุมสุวรรณ ผู้บังคับการกองทะเบียนประวัติอาชญากร (ผบก.ทว.) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า ฐานข้อมูลประวัติอาชญากรที่รวบรวมไว้ มีจำนวนทั้งสิ้นเกือบ 16 ล้านรายการ ในเบื้องต้นทางกองทะเบียนฯ ได้พิจารณาไปแล้วประมาณ 3 ล้านรายการ ในจำนวนนี้แบ่งเป็นกลุ่มที่เข้าหลักเกณฑ์ 1.3 ล้านรายการ กับไม่เข้าหลักเกณฑ์อีก 1.7 ล้านรายการ
กระทั่งในช่วง 1 ปีล่าสุด พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.) เข้ามาขับเคลื่อนเรื่องนี้ในชื่อโครงการ “ลบประวัติ ล้างความผิด คืนชีวิตให้ประชาชน” โดยจากฐานข้อมูลที่ค้างอยู่ 12 ล้านรายการ ตรวจสอบพบ 7.5 ล้านรายการ ทางสถานีตำรวจได้รายงานมาแล้วว่ามีผลคดีถึงที่สุด ส่วนที่เหลืออยู่อีก 4.5 ล้านรายการ แบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือคดีที่อยู่ระหว่างดำเนินการ กับคดีที่ขาดอายุความ
สำหรับในกลุ่ม 7.5 ล้านรายการ มีอยู่ราว 8 แสนรายการ หรือ 8 แสนคน เข้าเกณฑ์ได้รับการคัดแยกหรือลบประวัติ โดยเกณฑ์ดังกล่าวมี 19 ข้อ เช่น เสียชีวิต อัยการสั่งไม่ฟ้อง ศาลยกฟ้อง กฎหมายแก้ไขให้เรื่องนั้นไม่เป็นความผิดอีกต่อไป ถูกลงโทษปรับเพียงสถานเดียว ถอนคำร้องทุกข์ มีการรื้อคดีมาสอบใหม่แล้วพบว่าคนคนนั้นไม่ใช่ผู้กระทำผิด เป็นความผิดที่ผู้กระทำเป็นเยาวชนหรือเป็นคดีความรุนแรงในครอบครัว เป็นต้น ส่วนที่เหลืออีกราว 6.8 ล้านรายการไม่เข้าข่ายเกณฑ์นี้ เพราะเป็นกลุ่มที่ศาลตัดสินลงโทษจำคุกแล้ว
“เดิมเราก็มองว่าเราจะรอจากสถานีตำรวจหรือหน่วยสอบสวนอื่น เช่น บช.ก. บช.ปส. ตำรวจท่องเที่ยว หรือ สอท. จะแจ้งกลับมา ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว ผู้บังคับบัญชาให้กองทะเบียนประวัติอาชญากรดำเนินการในเชิงรุก เป็น Big Data เชื่อมโยงอะไรได้ อย่างนี้เราทำแล้ว อย่างเช่นเราจะพิสูจน์การตายเราก็ไปที่กรมการปกครอง ไปดูจากทะเบียนราษฎร์ อย่างนี้เราทำไปแล้ว และในส่วนของทางศาล ถ้าเราจะนำเรียนท่านขอข้อมูล บางทีทางเทคนิคพอมีจำนวนเยอะหลายๆ รายการ พอเอามารวมกัน มาจับคู่กันมันอาจจะเจอกันลำบาก
เพราะระบบการเขียน AI มันจะไม่ตรงกันมากนัก แต่ในทางปฏิบัติที่ทำอยู่ในปัจจุบันมันก็ไม่ต้องไปทางนั้นทางเดียว เราอาจจะใช้วิธีรับฟังจากประชาชน คือทางศาลท่านรู้อยู่แล้ว อาจจะมีคำพิพากษาติดไว้ในที่ของตัวเอง หรืออัยการมีหนังสือไปถึงผู้ต้องหาหรือจำเลยว่าสถานะของเขาเป็นอย่างไร อันนี้ถ้าเป็นฝ่ายพวกนี้นำมาเสนอเรา เรานำมาพิจารณาได้ ในส่วนของคดีที่พิจารณาแล้ว เราสามารถขอกับทางราชทัณฑ์ได้ ราชทัณฑ์ก็จะมีว่าคนไหนพ้นโทษแล้ว คนไหนติดคุกมาแล้ว เราก็เอาตรงนี้มาใช้ได้” พล.ต.ต.เจนเชิง ระบุ
ชัยวัฒน์ ร่างเล็ก รองผู้อำนวยการสำนักงานกิจการยุติธรรม กระทรวงยุติธรรม กล่าวถึงร่างกฎหมายทะเบียนประวัติอาชญากร ว่า เหตุที่มีร่างแก้ไขกฎหมายนี้ขึ้นเพราะต้องการแก้ไขปัญหาเดิมๆ ที่ผ่านมา เช่น 1.กำหนดนิยามอาชญากรให้หมายถึงผู้ที่ศาลมีคำตัดสินว่าผิดจริงแล้วเท่านั้น แก้ปัญหาที่องค์กรต่างๆ มาขอตรวจประวัติคนสมัครงานแล้วพบข้อมูลส่วนนี้ด้วยแล้วตัดโอกาสการได้งานทำ แม้เป็นกรณีเพิ่งถูกจับและอัยการยังไม่สั่งฟ้องด้วยซ้ำ
2.การจัดเก็บประวัติอาชญากรรมจะแบ่งเป็น 2 ชั้น คือชั้นที่เปิดเผยได้และไม่ได้ โดยในต่างประเทศ เช่น เยอรมนี ไม่มีการลบประวัติอาชญากรรม แต่จะแบ่งว่าความผิดระดับใดมีระยะเวลาเท่าใดหลังพ้นโทษ โดยหากพ้นโทษแล้วไม่ได้ทำผิดอีกในระยะเวลาที่กำหนดประวัตินั้นจะไม่ถูกเปิดเผยเป็นการทั่วไปอีก เหตุที่มีกฎหมายแบบนี้ก็เพื่อให้คนที่เคยพลาดพลั้งได้มีที่ยืนในสังคม
ซึ่งร่างกฎหมายใหม่ของไทยก็นำหลักนี้มาใช้ อาทิ คดีที่กระทำผิดขณะยังเป็นเยาวชน คดีที่ได้รับประโยชน์ตาม พ.ร.บ.ล้างมลทิน คดีที่ผู้กระทำผิดได้รับโทษจำคุกและพ้นโทษออกมาใช้ชีวิตภายนอกแล้วตั้งแต่ 5 ปีขึ้นไป ความผิดโดยประมาท ความผิดลหุโทษ ความผิดที่มีโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือนหรือปรับไม่เกิน 1 หมื่นบาท กลุ่มนี้จะไม่มีการเปิดเผยประวัติเป็นการทั่วไปอีก ปัจจุบันร่างกฎหมายนี้ยังไม่เข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี
“อีกกลุ่มหนึ่งที่สามารถเปิดเผยได้ กรณีที่เปิดเผยได้เจตนาคือเพื่อคุ้มครองสังคม เพื่อต้องการอำนวยความสะดวกให้เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน เพราะถ้าไม่มีข้อมูลเหล่านี้ การปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ไม่สามารถต่อยอดเพื่อทำให้กระบวนการยุติธรรมมีประสิทธิภาพและสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนอีกกลุ่มได้ ฉะนั้นในเรื่องการเปิดเผยได้จะเป็นประวัติอาชญากรรมหรือข้อมูลเกี่ยวกับการต้องหาคดีตามหน้าที่ของหน่วยงานนั้นๆ คือเปิดเผยตามหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรมหรือหน่วยงานความมั่นคง หรืออาชีพสำคัญๆ” รอง ผอ.สำนักงานกิจการยุติธรรม กล่าว
รังสิมันต์ โรม สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล กล่าวเสริมในส่วนของร่างแก้ไขกฎหมายประวัติอาชญากรรม ว่า เรื่องนี้เป็นปัญหาของคนจำนวนมาก ตั้งแต่คนที่ถูกจับกุมดำเนินคดีแต่ภายหลังศาลตัดสินยกฟ้อง หรือแม้แต่คนที่เคยทำผิดถึงชดใช้โทษในเรือนจำครบแล้วออกมาก็ไม่สามารถดำรงชีพอย่างมนุษย์ปุถุชนเพราะหางานทำไม่ได้ แน่นอนว่าคดีบางประเภทที่ร้ายแรง เช่น คดีทางเพศ คดีก่อการร้าย อาจกำหนดเงื่อนไขให้เปิดประวัติได้ แต่คดีอื่นๆ อีกมากมาย เมื่อเวลาผ่านไปอาจไม่ต้องเปิดเผยอีก เพื่อให้ใช้ชีวิตปกติในสังคมได้
ปิติกาญจน์ สิทธิเดช กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ กล่าวว่า เมื่อผู้กระทำผิดได้รับโทษแล้ว ออกจากเรือนจำแต่ยังมีประวัติอาชญากรรมติดตัวไปตลอดชีวิต เท่ากับไม่มีโอกาสเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง แม้จะได้รับการฝึกทักษะอาชีพขณะถูกจองจำอยู่ก็ตาม แต่อีกประเด็นที่เป็นปัญหากระบวนการยุติธรรมคือ “ระบบกล่าวหา” ในฐานะที่ทำงานในกระทรวงยุติธรรมมาตลอดจนเกษียณ โดยเริ่มต้นจากงานนักสังคมสงเคราะห์ในกรมราชทัณฑ์ ทำให้มีโอกาสได้พบเห็นชีวิตของผู้ต้องขัง หลายคนไม่มีทนายความ หลายคนเข้าไม่ถึงการประกันตัวเพราะความเหลื่อมล้ำด้านฐานะ
และแม้ต่อมาจะมีระบบการเข้าถึงทนายความ แต่ในความเป็นจริงคือทนายความในชั้นสอบสวนกับชั้นศาลเป็นคนละคนกัน “การสู้คดีในระบบกล่าวหาจึงเป็นการต่อสู้ที่ไม่เท่าเทียม” เพราะในทางกลับกัน คนร่ำรวยมีฐานะดี สามารถหาทนายความมาทำงานได้ต่อเนื่องตั้งแต่ชั้นสอบสวนจนถึงชั้นพิจารณาคดีในศาล อีกทั้งเข้าถึงการยื่นขอประกันตัว จึงมีโอกาสต่อสู้คดีได้มากกว่า..เรื่องนี้จะแก้ไขกันอย่างไร?
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี