“เกษตรคนเมือง” เป็นกระแสของการหันมาสนใจรักสุขภาพ และ สิ่งแวดล้อม ที่เรียกว่า “สายกรีน” โดยปัจจุบันมีเครือข่ายขับเคลื่อนงานเกษตรคนเมืองที่ทำงานกันอย่างจริงจัง หนึ่งในนั้นก็คือ “มูลนิธิเกษตรกรรมยั่งยืน” ซึ่งมีการทำงานร่วมกับ “สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ” (สสส.) โดยพบว่าการทำเกษตรในเมืองนั้นยังมี “หัวใจ” สำคัญอยู่ที่คุณภาพของดินในเมือง
นางสาวเกศศิรินทร์ แสงมณี อาจารย์คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร และ ที่ปรึกษา มูลนิธิเกษตรกรรมยั่งยืน หรือ อาจารย์เกศศิรินทร์แนะการดูแลดินอย่างยั่งยืนให้กับการทำ “เกษตรในเมือง” ว่า ด้วยสภาพดินในเขตเมืองโดยเฉพาะในกรุงเทพมหานคร จะเป็นดินเปรี้ยว มีลักษณะความเป็นกรดสูง จึงต้องใช้วิธีปรับสภาพดินด้วยอินทรีย์ และ ไม่ใช้สารเคมีแม้แต่ตัวเดียว เพื่อทำให้ดินมีสภาพเหมาะแก่การเพาะปลูก
“ดินในกรุงเทพฯ เป็นดินกรดถึงเปรี้ยว เพราะเวลาเขาถมที่เขาใช้ดินนา เขาใช้ดินเหนียวมาผสม ดินเหนียวโครงสร้างแข็งแรง แต่มีความเป็นกรดถึงเปรี้ยว มันก็เลยทำให้ลักษณะดินในเมืองไม่ดี เวลาที่เขาจะทำสวน ปรับภูมิทัศน์ ทำสวนในหมู่บ้าน เขาจะเอาทราย หรือ หน้าดินมาถม เพื่อใช้ในการปลูก นี่คือข้อไม่ดี แต่ถ้าหากเราจะทำเกษตรในเมืองจริงๆ ชุมชนต่างๆ ก็ไม่มานั่งซื้อดิน เพราะเป็นการลงทุนที่สูง เมื่อเทียบกับหมู่บ้านจัดสรร เราก็ต้องหาวิธีปรุบปรุงดินตรงนี้ให้มันดีขึ้น แต่ด้วยความที่เราอยู่กรมพัฒนาที่ดินมา ก็จะสังเกตุรู้ว่า พื้นที่ตรงนี้เป็นดินแบบไหนๆ ประสบการณ์การทำงาน อยู่ในสำนักงานวิจัยและการจัดการที่ดิน ของกรมพัฒนาที่ดิน” อาจารย์เกศศิรินทร์เล่าให้ฟังอย่างเป็นกันเอง
ก่อนที่อาจารย์เกศศิรินทร์จะมานั่งเก้าอี้อาจารย์ที่มหาวิทยาลัยราชภัฎพระนคร ได้รับราชการอยู่ที่กระทรวงมหาดไทย ในส่วนของกรมพัฒนาที่ดิน และ ทำงานด้านวิชาการในส่วนงานวิจัยและจัดการที่ดินโดยเฉพาะ จึงมีข้อมูลเกี่ยวกับสภาพที่ดินของเมือง
อาจารย์เกศศิรินทร์เล่าว่า หลักๆดูแลเรื่องการทำเกษตรในเมือง เปลี่ยนพื้นที่รกร้างเป็นพื้นที่อาหาร และ เป็นนักวิชาการเรื่องการขับเคลื่อน ทำอย่างไรให้พื้นดินในเมืองปลูกผักได้ แต่จะเน้นไปที่ผลิตอาหารปลอดภัย ซึ่งยังไม่ได้เป็นอินทรีย์ 100% แต่วิธีการปลูกไม่ใช้ปุ๋ย และ ไม่ใช้ยา ซึ่งตอนที่รับราชการทำหน้าที่เป็นหมอดินมาก่อน เพราะว่ามาจากกรมพัฒนาที่ดิน แล้วลาออกมาเป็นอาจารย์
อาจารย์เกศศิรินทร์ให้เทคนิคในการทำเกษตรของคนเมืองว่า “หัวใจ” อยู่ที่ดิน ถ้าดินดีจะปลูกอะไรก็ได้หมด “ดังนั้นเวลาปรับปรุงดิน จะทำยังไงให้ดินร่วนซุย ก็ต้องเพิ่มอินทรีย์วัตถุเข้าไป แต่จะเน้นกระบวนการหมักที่นานหน่อย เพราะว่าถ้าเราใส่อินทรีย์และหมักแค่ 7 วัน วัสดุเหล่านี้ เวลาเราหว่านกล้า กระบวนการย่อยสลายยังไม่สมบูรณ์ โดยเฉพาะดินในเมือง ที่มีความเป็นดินเหนียวมีความเป็นกรด อย่างน้อยต้องหมัก 1 -2 เดือน ใช้แกลบ ปุ๋ยหมัก ปุ๋ยคอก ลงไปผสมใช้จุลินทรีย์หน่อกล้วย และจุลินทรีย์สังเคราะห์แสง โดยเฉพาะหน่อกล้วย ส่งเสริมการเติบโตระบบรากได้ดีและทุกๆ 7 วัน ต้องรดน้ำหมัก และทุก 15 วันต้องพรวนดิน และหาฟาง หาสแลน หรือผ้าใบมาคลุมหน้าดิน เพื่อให้มีความชื้น เพื่อให้เกิดการย่อยสลายได้ดี
เพราะการทำเกษตรในเมือง คือ ฉันอยากกินอะไรที่ปลอดภัย เวลาปลูกผัก เน้นการผลิตผัก จะไม่แนะนำใส่ปูน แต่เพิ่มอินทรีย์วัตถุไปแทน ตอนนี้ดินเปรี้ยวอยู่มีค่าพีเอชอยู่ที่ 4-6 เราเน้นกระบวนการหมักที่นานหน่อย แต่ถ้ากระบวนการหมักดินไม่สมบูรณ์ สุดท้ายเวลาย้ายกล้าและว่านเมล็ดมันก็ไม่งอก” อาจารย์เกศศิรินทร์อธิบายเหตุผลที่ต้องปรับดินในเมืองให้สมบูรณ์ด้วยอินทรีย์
การปลูกผักในเมืองนั้นปัจจุบันอาจารย์เกศศิรินทร์ทำหน้าที่หมวกอีกใบคือ เป็นที่ปรึกษาให้กับมูลนิธิเกษตรกรรมยั่งยืน ซึ่งสร้างเครือข่ายการทำเกษตรในเมืองในชุมชนต่างๆ ในกรุงเทพมหานคร โดยอาจารย์เกศศิรินทร์บอกว่า มีหมู่บ้านและชุมชนหลายแห่งร่วมกันทำกิจกรรม “สวนผักคนเมือง” อาทิ หมู่บ้านปิ่นเจริญ ดอนเมือง, หมู่บ้านอรุณนิเวศน์ ถนนสายไหม และ หมู่บ้านสินสมบูรณ์ พุทธมณฑล สาย 4 พบว่า ได้ทั้งเรื่องสุขภาพกายและสุขภาพใจที่ดีขึ้น รวมถึงได้ความรักความสามัคคีของคนในชุมชน
นี่ก็เป็นอีกตัวอย่างที่สำคัญ เพราะอาจารย์เกศศิรินทร์นั้นเป็นบุคลากรที่ขับเคลื่อนการพัฒนาดินให้เหมาะสมกับการทำเกษตรในเมืองและต่อยอดมาสู่การพัฒนาชุมชนให้มีความรักและความสามัคคีผ่านการปรับปรุงดินให้เหมาะสมกับการปลูกใน “สวนผักคนเมือง” ของมูลนิธิเกษตรกรรมยั่งยืน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี