หมายเหตุ : เรียบเรียงจากปาฐกถา หัวข้อ “กรุงเทพฯ เมืองหลวง ปรับเปลี่ยนหรือโยกย้าย” โดย ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) ในงานเสวนา “ย้ายเมืองหรือ อยู่ต่อ หากกรุงเทพฯ ต้องจมน้ำ” จัดโดย นิตยสารสารคดี ร่วมกับ สถาบันเอเชียตะวันออกศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ วันที่ 19 พ.ย. 2565 ณ ห้องประชุมริมน้ำ ชั้น 1คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (ท่าพระจันทร์)
ผู้ว่าฯ ชัชชาติ : Keyword (คำสำคัญ) คือ “ปรับเปลี่ยนหรือโยกย้าย” โดยเรื่องน้ำท่วมก็เป็นโจทย์เรื่องหนึ่งในหลายเรื่องเช่น แผ่นดินทรุด การจราจรติดขัด มลพิษ ที่อยู่อาศัยราคาแพงผังเมืองมีปัญหา “แต่การย้ายเมืองในปัจจุบันไม่เหมือนกับในอดีต” สมัยก่อนที่มีการย้ายเมืองหลวงจากสุโขทัยมาอยุธยา หรือจากอยุธยามากรุงเทพฯ เป็นการย้ายโดยภาคราชการเพราะในอดีตผู้ควบคุมเศรษฐกิจและผู้จ้างงานส่วนใหญ่คือรัฐ ส่วนปัจจุบันนั้นคือภาคเอกชน
“แต่ก่อนเศรษฐกิจ Control (ควบคุม) โดยภาครัฐ ปัจจุบันไม่ใช่แล้ว ปัจจุบันเป็น Market Control (ควบคุมโดยตลาด) จริงๆ แล้วคนที่ตัดสินใจอาจจะไม่ใช่รัฐบาลด้วยซ้ำถ้าจะย้ายเอกชนเขาก็ย้ายแล้วนะ หลายคนเขาก็ย้ายเพราะมีเรื่อง Risk (ความเสี่ยง) เข้ามา เขาก็ย้ายออกจากกรุงเทพฯ ไปเหมือนกับที่ย้ายจากอยุธยาไปอยู่นิคมฯ แถวชลบุรี เขาก็ย้ายเพราะเป็น Business Position (ตำแหน่งแห่งหนทางธุรกิจ) หรือเป็นการลงทุน”
กรุงเทพฯ เป็นเมืองแอ่งกระทะ มีความสูงจากระดับน้ำทะเลปานกลาง ที่ 1-1.5 เมตร “หากอยากดูความน่ากลัวของกรุงเทพฯ ช่วงน้ำท่วม ให้ไปดูที่ประตูระบายน้ำพระโขนง”ซึ่งเป็นจุดเชื่อมระหว่างคลองแสนแสบ คลองพระโขนง และคลองประเวศบุรีรมย์ “หากประตูน้ำพระโขนงแตกหมายถึงน้ำจะท่วมทั้งกรุงเทพฯ” เพราะไม่ว่าน้ำใน กทม. จะไหลผ่านท่อหรือคลองสายย่อยต่างๆ สุดท้ายก็ต้องระบายออกแม่น้ำเจ้าพระยาทั้งหมด ซึ่งระดับน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาค่อนข้างสูง จึงมีคันกั้นน้ำสูงเฉลี่ย 2-.2.5 เมตร อยู่ตลอดแนว แต่หากคันกั้นน้ำแตกน้ำก็เข้าเมืองแน่นอน
ขณะเดียวกันก็จะมีประตูระบายน้ำตามคลอง ซึ่งเชื่อมโยงกับปัญหาน้ำในคลองของ กทม. เน่าเสีย เพราะไม่สามารถเปิดประตูน้ำได้เนื่องจากระดับน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาสูงกว่า กลายเป็นน้ำขังซึ่งต้องรอให้น้ำลงจึงจะระบายน้ำจากคลองออกไปได้ “กรุงเทพฯ ยังอยู่ในพื้นที่ชั้นหินใหม่” โดยวิศวกรจะเข้าใจว่าพื้นที่กรุงเทพฯ เป็นดินเหนียวซึ่งไม่ดีเท่าไร เพราะเมื่อจะลงเสาเข็มในการก่อสร้างอาคารอาจต้องปักลึกลงไปถึง 60 เมตร เมื่อเทียบกับย่านแมนฮัตตันของเมืองนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ที่ไม่จำเป็นต้องลึกขนาดนั้น อาคารสูงในกรุงเทพฯ จึงมีต้นทุนการก่อสร้างค่อนข้างแพง
“ของเราคล้ายๆ เม็กซิโกซิตี้ (เมืองหลวงของประเทศเม็กซิโก) ซึ่งน่ากลัวเหมือนกัน เม็กซิโกซิตี้ในเวลาแผ่นดินไหวปุ๊บดินเหนียวมันจะสั่นเหมือนเยลลี่ มันทำให้เกิดการไหวแรงกว่าปกติได้ แต่เราก็ยังดีที่อยู่ห่างจากตัว Fault (รอยเลื่อน) พอสมควร ก็เป็นสิ่งที่ต้องระวัง ถามว่าแล้วเรื่องการทรุดตัว? เพราะการทรุดตัวน้อยลงนะ ปัจจุบันอยู่ที่ 1 เซนติเมตรต่อปี เพราะเราหยุดดูดน้ำใต้ดินแล้ว พอหยุดดูดน้ำใต้ดินมันก็อยู่ใน Balance (สมดุล) ระดับหนึ่ง
แต่ที่เรากังวลก็คือ Sea Water Rising ก็คือน้ำในทะเลสูงขึ้น อาจจะเป็นเรื่อง Global Warming (โลกร้อน) หรืออะไรก็ตาม แต่เชื่อว่าเรื่องกรุงเทพฯ ทรุดอาจจะชะลอลง คือแต่ก่อนเราให้ดูดน้ำบาดาล พวกอาบอบนวดเขาไม่ใช้น้ำประปาหรอก ดูดน้ำบาดาลถูกกว่า ดูดจนดินมันเหมือนกับ Subside (ทรุด) ลง คือไม่มีน้ำช่วยดันไว้ พอเราดูดน้ำออกดินมันก็ทรุดเร็ว แต่ช่วงนี้เรื่องทรุดตัวผมว่าน่าจะ Stable (เสถียร) แล้ว”
ฉะนั้นเรื่องดินทรุดตัวอาจไม่ใช่เรื่องใหญ่ ที่น่ากังวลคือระดับน้ำสูงขึ้น โดยเฉพาะกรณีสตรอมเซิร์จ (Storm Surge) หมายถึงเมื่อเกิดพายุในอ่าวไทยจะดันให้ระดับน้ำสูงขึ้นด้วย เหมือนกับที่เกิดในรัฐฟลอริดาของสหรัฐฯ แต่จริงๆ แล้ว “ถ้าจะย้ายเมืองหลวง..รถติดอาจเป็นสาเหตุที่สำคัญกว่าน้ำท่วม” เพราะเป็นปัญหาที่คน กทม. ต้องพบเจอทุกวันซึ่งผังเมืองเป็นปัจจัยสำคัญ กรุงเทพฯ มีเส้นเลือดใหญ่ (โครงข่ายรถไฟฟ้า) ที่ดี แต่ระบบเชื่อมต่อยังมีปัญหา
ยังมีปัจจัยอื่นๆ อาทิ ระบบสาธารณสุขที่คนจนยังลำบาก ศูนย์เด็กเล็กที่มีงบประมาณอาหารกลางวันน้อยและครูไม่เพียงพอ ทั้งที่ กทม. เป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัยชั้นนำ ครูขาดแรงจูงใจที่จะทำงานระยะยาวเพราะไม่มีการปรับเงินเดือนตามประสบการณ์ พื้นที่สีเขียวยังมีไม่เพียงพอ ซึ่งในขณะที่ องค์การอนามัยโลก (WHO) แนะนำว่า เมืองที่ดีควรมีพื้นที่สีเขียวเฉลี่ย 9 ตร.ม./คน แต่กรุงเทพฯ มีพื้นที่สีเขียวอยู่ 6.9 ตร.ม./คน และจริงๆ แล้วมีอยู่เพียง 0.92 ตร.ม./คน เพราะตัวเลข 6.9 ตร.ม./คน นั้น นับรวมพื้นที่ทางการเกษตร (เช่น ในเขตหนองจอก-เขตมีนบุรี) เข้ามาด้วย
ทั้งนี้ ปัจจัยที่จะทำให้น้ำท่วมกรุงเทพฯ ประกอบด้วย 1.น้ำเหนือ หมายถึงน้ำจากภาคเหนือไหลลงมา เมื่อใดที่ระดับน้ำเกิน 3,000 ลบ.ม./วินาที ความกังวลก็เกิดขึ้น 2.น้ำหนุน หมายถึง ช่วงน้ำขึ้นระดับน้ำทะเลจะสูงและอาจไหลย้อนเข้ามาในกรุงเทพฯ ได้หากสูงกว่าแนวคันกั้นน้ำ 3.น้ำฝน หมายถึงปริมาณฝนที่ตกใน กทม. และ 4.น้ำทุ่ง หมายถึงน้ำที่ไหลมาตามทุ่ง (เช่น ทุ่งรังสิต) ที่น้ำไหลออกจากแม่น้ำไปเข้าพื้นที่แก้มลิงแล้วไหลอ้อมเข้ามาใน กทม. ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นในช่วงน้ำท่วมใหญ่ปี 2554 เนื่องจากประตูระบายน้ำแตกทำให้น้ำเข้ามาในจุดที่คาดไม่ถึง
“บางทีเราเหมือนหวังว่าย้ายเมืองแล้วจะดีขึ้น แต่ปัญหาอาจไม่ใช่ Geography (ภูมิศาสตร์) หรอก ปัญหาอาจเป็นเรื่อง Behavior (พฤติกรรม) ด้วยเหมือนกัน คือถ้าย้ายไปแล้วยังทิ้งขยะ ทิ้งฟูกทิ้งโซฟาทิ้งโอ่ง ตู้เย็นก็เยอะ ก็จะลำบากเหมือนกัน เมืองใหม่ออกแบบอย่างไรก็คงมีปัญหา มันก็อาจต้องเริ่มจากพฤติกรรมเรื่องขยะ เรื่องการทิ้งของลงท่อระบายน้ำ การรุกล้ำคูคลอง มันก็เป็นเรื่องที่ปัญหามันต่อเนื่องกัน”
โลกร้อนเป็นอีกปัจจัยที่ต้องจับตามอง เห็นได้จากปริมาณฝนที่เพิ่มขึ้นในช่วง 6 ปีล่าสุด แบ่งเป็นวันที่ปริมาณฝนเกิน 100 มม. มีทั้งสิ้น 16 วัน พบอยู่ในปี 2565 ถึง 8 วัน
และวันที่ปริมาณฝนเกิน 120 มม. มีทั้งสิ้น 9 วัน ทั้ง 9 วันนี้อยู่ในช่วง 3 ปีล่าสุด และมีถึง 6 วันอยู่ในปี 2565 ซึ่งปริมาณฝนระดับนี้ในอดีตจะไม่ค่อยได้พบเห็น และเป็นปริมาณที่เกินความสามารถในการระบายน้ำของระบบท่อใน กทม.
อีกปัญหาที่ต้องให้ความสนใจคือ “การกระจุกตัวของเมืองทำให้ราคาที่ดินปรับตัวสูงขึ้นจนคนหาที่อยู่อาศัยไม่ได้ แต่แหล่งงานยังคงอยู่ในพื้นที่เดิม ทำให้คนเดินทางไกลขึ้นและการจราจรติดขัดมากขึ้น” โดยพื้นที่ของ กทม. ที่ยังมีบ้านราคาต่ำกว่า 5 ล้านบาท มักจะเป็นพื้นที่ชั้นนอก เช่น กรุงเทพฯ ฝั่งตะวันตก-ฝั่งใต้ ในเขตหนองแขม บางแค บางบอน บางขุนเทียนและทุ่งครุ, กรุงเทพฯ ฝั่งตะวันออก ในเขตลาดพร้าว บางกะปิ สะพานสูง ประเวศ คลองสามวา มีนบุรี ลาดกระบังและหนองจอก, กรุงเทพฯ ฝั่งเหนือ ในเขตบางเขน หลักสี่ ดอนเมืองและสายไหม
ขณะเดียวกัน “ผังเมืองของกรุงเทพฯ กับจังหวัดปริมณฑลก็อาจไม่สอดคล้องกันจนเกิดปัญหา” เช่น กรณีโรงงานหมิงตี้ เคมีคอล ระเบิดและมีสารเคมีรั่วไหล พื้นที่ตั้งโรงงานอยู่ใน จ.สมุทรปราการ และเป็นจุดที่ผังเมืองระบุว่าเป็นเขตพาณิชยกรรมแบบหนาแน่น (สีแดง) ในขณะที่ผังเมือง กทม. ในเขตที่ติดกัน ระบุว่าเป็นเขตที่มีประชากรอยู่อาศัยเบาบาง (สีเหลือง) เรื่องนี้คนที่จะซื้อบ้านอาจไม่รู้หากดูแต่ผังเมืองของ กทม.
เมื่อดูตัวอย่างในต่างประเทศ เช่น บราซิล ที่ย้ายเมืองหลวงคือกรุงบราซิเลีย มาแล้วหลายสิบปี แต่ก็ยังเป็นเมืองที่ไร้ชีวิตชีวาเพราะพื้นที่เศรษฐกิจหลักอยู่ยังที่เมืองหลวงเดิมคือ ริโอ เดอ จาเนโร,อินโดนีเซีย ย้ายเมืองหลวงจากจาการ์ตาไปหาพื้นที่ใหม่ด้วยเหตุผลคล้ายๆ ไทย เช่น ความแออัด ความเสี่ยงภัยธรรมชาติ กระจายความมั่งคั่ง แต่ก็ต้องตามดูกันต่อไปว่าย้ายแล้วจะยังเกิดปัญหาอีกหรือไม่หากไม่ได้เปลี่ยนวิธีคิด (Mindset) ของคนด้วย อีกทั้งพื้นที่เศรษฐกิจส่วนใหญ่ก็ยังคงอยู่ในจุดเดิม
ดังนั้นสิ่งที่อาจต้องคิดกันคือ “การกระจายเมืองเหมาะสมกว่าย้ายเมืองหรือไม่?” เช่น ในกรุงโตเกียวของญี่ปุ่น หรือกรุงปารีสของฝรั่งเศส มีการกระจายเมืองออกไปในหลายย่าน เพื่อให้แหล่งงานอยู่ใกล้บ้าน นำไปสู่การที่คนสามารถเดินเท้าหรือขี่จักรยานได้มากขึ้น ลดการใช้รถยนต์ส่วนบุคคลลงเพราะไม่ต้องเดินทางไกล รวมถึง “การต้องคิดถึงที่อยู่อาศัยสำหรับผู้ที่มีรายได้น้อย-ปานกลาง” เพราะคนเหล่านี้คือผู้ขับเคลื่อนเมือง (เช่น แม่บ้านที่ทำงานตามออฟฟิศต่างๆ) แต่ต้องอยู่อาศัยแบบผิดกฎหมายเพราะบุกรุกที่ดินของผู้อื่นหรือของรัฐ เพื่อให้ใกล้แหล่งงาน
ส่วนการป้องกันน้ำทะเลหนุน ไทยสามารถทำแนวเขื่อนกั้นที่บริเวณปากแม่น้ำเจ้าพระยาได้ เช่นเดียวกับบริเวณปากแม่น้ำเทมส์ในอังกฤษ โดยใช้แนวถนนสุขุมวิทสายเก่าเลียบอ่าวไทยและไม่จำเป็นต้องเวนคืนที่ดิน ซึ่งแม้ด้านหนึ่งจะส่งผลกระทบกับท่าเรือคลองเตย แต่อีกด้านหนึ่งก็อาจเป็นโอกาสในการเร่งรัดแนวคิดการย้ายท่าเรือขนาดใหญ่ออกไปอยู่ที่แหลมฉบัง จ.ชลบุรี ซึ่งก็จะทำให้ กทม. ได้พื้นที่คืนมา2 พันไร่ อนึ่ง “มีแนวโน้มที่รูปแบบการทำงานจะเปลี่ยนไป”เพราะสามารถ “ทำงานออนไลน์” จากที่ไหนก็ได้ในประเทศหรือในโลก
ดังนั้นย้ายบริการภาครัฐทั้งหมดไปออนไลน์จะดีกว่าหรือเปล่า? (เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและความโปร่งใส)!!!
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี