 วันศุกร์ ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2568
                วันศุกร์ ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2568
             
								“หนี้ครัวเรือน” หนึ่งในปัญหาใหญ่ของสังคมไทย อาทิ ข้อมูลจาก ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ที่เปิดเผยเมื่อเดือน ส.ค. 2565 ระบุว่า ภายในสิ้นปี 2565 หนี้ครัวเรือนไทยจะอยู่ที่ร้อยละ 89.3 ของผลิตภัณฑ์มวลรวม (GDP) และคิดเป็นมูลค่าสูงถึง 14.97 ล้านล้านบาท สูงที่สุดในรอบ 16 ปี หากดูเป็นรายอาชีพ “ครู” ที่ควรจะเป็นแบบอย่างของเด็กและเยาวชนอันเป็นอนาคตของชาติ กลับเป็นหนึ่งในอาชีพที่มีปัญหาหนี้สินค่อนข้างรุนแรง และเป็นปัญหาที่ยืดเยื้อยาวนานมาหลายยุคสมัย
ล่าสุดเมื่อวันที่ 1 ธ.ค. 2565 เครือข่ายภาคประชาสังคมเพื่อแก้ไขปัญหาหนี้สินครูและบุคลากรทางการศึกษา เรียกร้องให้ครูที่กำลังประสบปัญหาหนี้สิน ขอให้กล้าเปิดเผยเอกสารรับเงินเดือน (สลิป) เพื่อให้สังคมเห็นปัญหา ครูถูกหักเงินเดือนไปชำระหนี้ต่างๆ จนเหลือไม่เพียงพอต่อการดำรงชีพได้อย่างมีศักดิ์ศรี หรือเหลือน้อยกว่าร้อยละ 30 ของเงินเดือนที่ได้รับ โดยหวังส่งสัญญาณไปถึงผู้มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวข้องให้เข้ามาแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง
โดยทางเครือข่ายฯ ได้ชี้ปัญหาไว้ 4 ประการ ดังนี้ 1.การยอมให้เจ้าหนี้ตัดเงินเดือนของครูไปได้จนไม่เพียงพอต่อการดำรงชีพ 2.การอำนวยความสะดวกตัดเงินเดือนให้เจ้าหนี้โดยไม่ได้พิจารณาว่าอัตราดอกเบี้ยเงินกู้แพงเกินกว่าเป็นสินเชื่อสวัสดิการหรือไม่ 3.แม้เห็นว่าครูนั้นได้กู้ยืมเงินศักยภาพที่จะใช้คืนด้วยเงินเดือนแล้วแต่ก็ไม่ได้ห้ามปราม และ 4.ปล่อยให้เจ้าหนี้กำหนดลำดับการตัดหนี้ตามอำเภอใจ โดยกำหนดให้ตัดเงินต้นท้ายสุด
ทั้งนี้ เคยมีกรณีที่กลุ่มข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาจำนวน 2,919 คน ยื่นฟ้องต่อศาลปกครอง เนื่องจากหากดูกฎหมายที่เกี่ยวข้องคือ “ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการ ว่าด้วยการหักเงินเดือน เงินบำเหน็จบำนาญข้าราชการเพื่อชำระหนี้เงินกู้ให้แก่สวัสดิการภายในส่วนราชการและสหกรณ์ พ.ศ.2551” ในข้อ 7 ระบุว่า ข้าราชการที่ประสงค์จะให้ส่วนราชการหักเงินเดือนหรือเงินบำเหน็จบำนาญเพื่อชำระหนี้เงินกู้ มีสิทธิ์ที่จะเลือกใช้สวัสดิการภายในส่วนราชการหรือสหกรณ์ได้ตามความประสงค์
แต่ทั้งนี้ การจะให้ส่วนราชการหักเงิน ณ ที่จ่ายเพื่อชำระหนี้เงินกู้นั้น จะต้องมีเงินเดือนสุทธิหลังหักจากหักชำระหนี้แล้วไม่น้อยกว่าอัตราดังต่อไปนี้ (1) ร้อยละ 10 ตั้งแต่เดือนตุลาคม พ.ศ.2551 (2) ร้อยละ 15 ตั้งแต่เดือนตุลาคม พ.ศ.2552 (3) ร้อยละ 20 ตั้งแต่เดือนตุลาคม พ.ศ.2553 (4) ร้อยละ 25 ตั้งแต่เดือนตุลาคม พ.ศ.2554 (5) ร้อยละ 30 ตั้งแต่เดือนตุลาคม พ.ศ.2555 ในกรณีที่ไม่เป็นตามหลักเกณฑ์ตามวรรคหนึ่งให้ส่วนราชการผู้เบิกงดหักเงินจนกว่าจะมีการดำเนินการให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ตามวรรคหนึ่ง
แต่ในความเป็นจริงยังพบครูถูกหักเงินจนเหลือน้อยกว่าจำนวนดังกล่าว นำมาสู่การฟ้องคดีในครั้งนั้น กระทั่งใน
วันที่ 26 ก.ย. 2562 ศาลปกครองกลางได้มีคำพิพากษาในเรื่องนี้ ระบุว่า ภายหลังจากที่ได้มีการออกระเบียบแล้ว สำนักงานคณะกรรมการ สกสค. ซึ่งเป็นหน่วยงานที่เสนอให้ออกระเบียบ ได้มีหนังสือลงวันที่ 31 ม.ค. 2551 แจ้งเวียนระเบียบให้หัวหน้าหน่วยงานในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ทราบ แต่กลับปรากฏว่าศึกษาธิการจังหวัด ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา รวมทั้งหัวหน้าสถานศึกษาในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ
ยังคงหักเงินเดือนและเงินบำนาญของผู้ฟ้องคดีแต่ละรายไม่เป็นไปตามระเบียบ ทำให้ผู้ฟ้องคดีแต่ละรายมีเงินเหลือสุทธิหลังจากหักชำระหนี้แล้วน้อยกว่าอัตราร้อยละ 30 กับทั้งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (รมว.ศธ.) และปลัดกระทรวงศึกษาธิการ (ปลัด ศธ.) ยังรับต่อศาลว่า ผู้บังคับบัญชาชั้นต้นของผู้ฟ้องคดีแต่ละราย ได้มีการออกหนังสือรับรองเงินเดือนหรือเงินบำเหน็จบำนาญและรายการหักเงิน ณ ที่จ่าย ย้อนหลังให้แก่ผู้ฟ้องคดีแต่ละราย
เพื่อใช้เป็นเอกสารประกอบการยื่นคำขอกู้เงินสหกรณ์และกู้เงินสวัสดิการภายในของส่วนราชการที่มีการทำความตกลงกับสถาบันการเงินหรือบริษัทต่างๆ ได้ โดยที่ผู้บังคับบัญชารวมทั้งหัวหน้าส่วนราชการผู้เบิก ไม่ได้คำนึงถึงหลักเกณฑ์ตามระเบียบฯ ข้อ 6 และข้อ 7 แต่อย่างใด จึงพิพากษาให้ รมว.ศธ.ปลัด ศธ. และเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กำกับดูแลให้หน่วยงานในสังกัด หักเงินเดือนให้เป็นไปตามระเบียบดังกล่าว
ดังนั้นเครือข่ายฯ จึงเรียกร้องให้ ศธ. ในฐานะ “นายจ้าง” ของครู เข้ามาเป็นคนกลางเจรจากับเจ้าหนี้ทุกราย โดย ศธ.มีเครื่องมือสำคัญคือระเบียบปี 2551 ดังกล่าว ซึ่งหากบังคับใช้อย่างเคร่งครัด เจ้าหนี้ก็จะไม่สามารถหักเงินเดือน ณ ที่จ่ายได้ตามปกติ ก็จะทำให้เจ้าหนี้ต้องยอมเข้าสู่กระบวนการผ่อนปรนและปรับโครงสร้างหนี้ ระเบียบนี้จะนำไปสู่ภาวะที่พึงปรารถนา ที่ลูกหนี้มีเงินเดือนเหลือร้อยละ 30 เพื่อดำรงชีพ ส่วนอีกร้อยละ 70 เพื่อชำระหนี้
ขณะเดียวกัน บทบาทของสถาบันการเงินและสหกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับการให้สินเชื่อ ซึ่งจะต้องให้กู้ยืมอย่างมีความรับผิดชอบและเป็นธรรม เป็นอีกด้านที่สำคัญในการแก้ไขปัญหาหนี้สินโดยมีข้อเสนอดังนี้ 1.สถาบันการเงินควรปรับปรุงวิธีการหักเงิน โดยหักจากสัดส่วนร้อยละ 70 เหมือนกับเจ้าหนี้รายอื่นๆ 2.สหกรณ์สามารถเข้ามาช่วยครูตามเจตนารมณ์การดัด ด้วยการปรับปรุงการจ่ายดอกเบี้ยเงินกู้ที่เดิมจ่ายทุกเดือนให้เกิดขึ้นพร้อมกับที่ครูจะได้รับเงินปันผลและเงินเฉลี่ยคืนผู้กู้
3.เจ้าหนี้ทุกรายต้องปรับอัตราดอกเบี้ยที่เก็บจากครูให้อยู่ในระดับต่ำ รวมถึงผ่อนปรนให้เหมาะสมกับที่เป็นสินเชื่อสวัสดิการที่มีความเสี่ยงต่ำ 4.ยกเลิกการบังคับซื้อประกันสินเชื่อที่เป็นการสร้างภาระโดยไม่จำเป็น โดยเฉพาะในส่วนเงินกู้ที่ยังไม่เกินศักยภาพในการชำระคืนโดยเงินเดือน และ 5.ปรับปรุงการชำระหนี้ให้เป็นธรรม ให้เงินที่จ่ายไปช่วยให้เงินต้นลดลง และไม่ผลักภาระให้ผู้ค้ำประกันต้องรับผิดชอบเสมือนเป็นผู้กู้ร่วม โดยกระบวนการทางคดีต้องดำเนินการกับผู้กู้ให้ถึงที่สุดก่อนแล้วจึงเป็นผู้ค้ำ ไม่ใช่ฟ้องทั้งผู้กู้และผู้ค้ำพร้อมกัน
อนึ่ง สุดท้ายแล้วเมื่อระเบียบฯ ถูกบังคับใช้และทำให้ครูรุ่นปัจจุบันที่ประสบปัญหาหนี้สินได้เข้าสู่กระบวนการปรับโครงสร้างหนี้อย่างเป็นธรรม ก็เชื่อได้ว่าในอีกด้าน ผู้ที่เกี่ยวข้องกับการอนุมัติสินเชื่อก็จะต้องปรับปรุงหลักเกณฑ์การให้กู้ยืมให้สมเหตุสมผลกับรายได้ของครูที่จะมายื่นขอ ไม่ปล่อยให้ “พ่อพิมพ์-แม่พิมพ์ของชาติ” ในอนาคตก่อหนี้เกินศักยภาพในการใช้คืน และกลายเป็นปัญหาซ้ำรอยรุ่นก่อนหน้า!!!
หมายเหตุ : สามารถอ่านรายละเอียดคำพิพากษาของศาลปกครองได้ที่ Link https://admincourt.go.th/admincourt/editorupload/files/111(1).pdf หรือค้นหาบนอินเตอร์เนตในหัวข้อ คำพิพากษาศาลปกครองกลาง คดีที่ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ยื่นฟ้องรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการกับพวก ให้ปฏิบัติตามระเบียบกระทรวงศึกษาธิการ ว่าด้วยการหักเงินเดือนเงินบำเหน็จบำนาญข้าราชการ เพื่อชำระหนี้เงินกู้ให้แก่สวัสดิการภายในส่วนราชการและสหกรณ์ พ.ศ. 2551
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี