สกู๊ปแนวหน้า : ดราม่า‘ค่าจ้างขั้นต่ำ600/วัน’  การเมืองหาเสียง-เศรษฐกิจกังวล

สกู๊ปแนวหน้า : ดราม่า‘ค่าจ้างขั้นต่ำ600/วัน’ การเมืองหาเสียง-เศรษฐกิจกังวล

วันอาทิตย์ ที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2565, 06.45 น.

สัปดาห์นี้เชื่อเหลือเกินว่าไม่น่าจะมีเรื่องใดเรียกเสียงฮือฮาไปมากกว่าการประกาศนโยบาย “ค่าจ้างขั้นต่ำวันละ 600 บาท” ในงานประชุมใหญ่วิสามัญ ประจำปี 2565 ของ “พรรคเพื่อไทย” เมื่อวันที่ 6 ธ.ค. 2565 พร้อมกับเปิดตัวอีกหลายนโยบายเพื่อเตรียมสู้ศึกเลือกตั้งใหญ่ที่กำลังจะมาถึงในเร็วๆ นี้ และกลายเป็น “ดราม่า” เกิดวิวาทะในสังคมว่าจะทำได้จริงหรือ?

ไล่ตั้งแต่ในขั้วการเมืองฝ่ายตรงข้ามอาทิ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ซึ่งมีกระแสข่าวอย่างต่อเนื่องว่าน่าจะเข้าร่วมกับ “พรรครวมไทยสร้างชาติ” ในช่วงเวลาอีก 2 ปีที่เหลือ ที่ยังสามารถดำรงตำแหน่งนายกฯได้ตามกรอบรัฐธรรมนูญฉบับ 2560 โดยในวันเดียวกับที่พรรคเพื่อไทยประกาศนโยบายค่าจ้างขั้นต่ำ 600 บาท พล.อ.ประยุทธ์ ตั้งคำถามผ่านสื่อที่ทำเนียบรัฐบาล ว่านโยบายดังกล่าวจะทำได้จริงหรือ?


“ก็ต้องไปดูว่าทำได้จริงหรือเปล่าหลายเรื่องก็มีการเปิดเผยมาโดยตลอดซึ่งการจะทำโน่นทำนี่มันไม่ง่ายนักหรอกที่จะทำวันนี้เราก็ทำโครงสร้างต่างๆ มากมายเพื่อไม่ให้มีปัญหาในอนาคต ซึ่งก็ต้องดูว่ามีผลกระทบอะไรบ้างหรือเปล่า การจะเพิ่มค่าแรงก็ต้องผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการ 3 ฝ่าย ที่เกี่ยวข้อง ต้องดูว่านักลงทุน ผู้ประกอบการรับไหวหรือไม่วันนี้มันก็มีความแตกต่างอยู่แล้ว ในเรื่องของค่าแรง แรงงานที่มีฝีมือค่าแรงก็สูง ซึ่งสูงมากกว่า 600 บาทต่อวันเสียอีก

ขณะนี้เรามีการพัฒนาฝีมือแรงงาน เพื่อตอบสนองแรงงานยุคใหม่ที่ต้องทำงานกับเครื่องจักร และกิจการที่มีรายได้สูง วันนี้ต้องสนับสนุนไปทำนองนั้นก่อน บางโรงงานราคาโดยเฉลี่ยของแต่ละจังหวัดไม่เท่ากัน ซึ่งในข้อเท็จจริงแล้วมีผู้ที่มีรายได้มากกว่าที่กำหนดไว้มากพอสมควร แต่ทั้งหมดต้องฟังผู้ประกอบการด้วย ประชาชนก็ต้องได้ประโยชน์ เราต้องสนับสนุนให้ได้ค่าแรงตามขีดความสามารถตามความเป็นจริง” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

เช่นเดียวกับ สุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ซึ่งเมื่อช่วงปลายเดือน พ.ย. 2565 ได้ลาออกจากตำแหน่งกรรมการบริหาร “พรรคพลังประชารัฐ” พรรคแกนนำฝ่ายรัฐบาลชุดปัจจุบัน โดยเป็นอีกคนหนึ่งที่คาดว่าจะเข้าร่วมกับพรรครวมไทยสร้างชาติเพื่อสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ ต่อไปได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว เตือนพรรคเพื่อไทยเรื่องหาเสียงขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำวันละ 600 บาทต้องระมัดระวังด้วย

“เพื่อไทยหากจะหาเสียงอะไรก็แล้วแต่ ควรคำนึงถึงหายนะทางเศรษฐกิจด้วย อย่าหาเสียงเพราะนึกสนุกแบบนี้ เพราะสิ่งที่พูดออกมามันเหมือนการโยนระเบิดเวลาให้เจ้าของกิจการ การหาเสียงแบบนี้เป็นการโยนภาระให้ภาคเอกชน แต่ตัวเอง
ได้คะแนนเสียงซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง นอกจากนี้จะกระทบต่อนักลงทุนต่างประเทศเพราะจะไม่กล้าเข้ามาลงทุน การออกมาพูดแบบนี้ส่งผลเสียหายต่อเศรษฐกิจทั้งระบบ หากจะหาเสียงอะไรก็แล้วแต่ ควรคำนึงถึงหายนะทางเศรษฐกิจด้วย” สุชาติ กล่าว

ไม่เว้นแม้แต่ขั้วการเมืองที่เป็นพันธมิตรกับพรรคเพื่อไทยอย่าง “พรรคก้าวไกล” กับกรณีของว่าที่ผู้สมัคร สส.ลำปาง เขต 1 ของพรรคอย่าง ทิพา ปวีณาเสถียร โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก “Tipa Paweenasatien - ทิพา ปวีณาเสถียร” ระบุว่า“ค่าแรงในลำปาง ปี 54 จาก 156-กระโดดเป็น 300, 310, 315- SME ตายเป็นเบือ! ถ้าจาก 315-ขยับเป็น 600-ฉันก็คงไม่รอด!!” ซึ่งในเวลาต่อมาเจ้าตัวได้ลบข้อความดังกล่าวออกไป พร้อมกับทางพรรคก้าวไกลได้ออกแถลงการณ์ผ่าน
ทวิตเตอร์ “@MFPThailand” ซึ่งเป็นบัญชีทวิตเตอร์ทางการของพรรค ขอโทษกับกรณีที่เกิดขึ้น

“พรรคก้าวไกลเสียใจอย่างมากที่ว่าที่ผู้สมัครของพรรค ได้ด่วนวิพากษ์วิจารณ์นโยบายดังกล่าวโดยขาดการไตร่ตรองอย่างรอบคอบ พรรคขอน้อมรับคำวิจารณ์ทั้งหมด และขออภัยพรรคเพื่อไทย และพี่น้องประชาชนทั่วประเทศอย่างสูง พรรคก้าวไกลตระหนักดีว่าการขึ้นค่าแรงอย่างเป็นธรรม สอดคล้องกับค่าครองชีพ จะทำให้พี่น้องชาวไทยได้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และเป็นส่วนสำคัญในการลดความเหลื่อมล้ำในประเทศไทย ซึ่งก็ถือเป็นแนวนโยบายและคุณค่าหลักที่พรรคก้าวไกลยึดถือเช่นกัน”แถลงการณ์ของพรรคก้าวไกล ระบุ

หันไปดูภาคเอกชน ในการประชุม “คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.)” ซึ่งประกอบด้วย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยและสมาคมธนาคารไทย ในวันที่ 7 ธ.ค. 2565 แสดงความกังวลเรื่องหาเสียงขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำวันละ 600 บาทเช่นกัน โดย สนั่น อังอุบลกุล ประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ในฐานะประธาน กกร. ให้เหตุผลว่า การพิจารณาปรับค่าแรงต้องมองในทุกมิติ ทั้งในมุมของนายจ้างและลูกจ้าง รวมถึงการคำนึงถึงความสามารถในการจ่ายค่าจ้างของนายจ้างซึ่งมีผลต่อการจ้างงานโดยรวม

“จากกรณีขึ้นค่าแรง 300 บาทต่อวันเมื่อปี 2554 ที่ถึงแม้จะดำเนินการได้สำเร็จ แต่ต้องยอมรับว่าช่วงแรกโดยเฉพาะ SME ปรับตัวค่อนข้างลำบาก ส่วนธุรกิจหรืออุตสาหกรรมขนาดใหญ่บางรายก็ปรับเป็นการย้ายฐานการผลิตไปประเทศอื่นแทน ขณะเดียวกัน หากทยอยขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็น 600 บาทต่อวัน จากปัจจุบันที่ค่าแรงเฉลี่ยอยู่ที่ 328-354 บาทต่อวัน ซึ่งถึงแม้ว่าจะเป็นการทยอยขึ้นก็จะทำให้ต้นทุนภาคธุรกิจปรับเพิ่มขึ้นเกือบ 70% ทำให้ภาคธุรกิจอาจปรับตัวไม่ทัน” สนั่น กล่าว

อย่างไรก็ตาม ในวันที่ 7 ธ.ค. 2565 แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย ชี้แจงเรื่องนโยบายขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำวันละ 600 บาท ว่า เข้าใจดีถึงสาเหตุที่มีข้อถกเถียง เพราะปัจจุบันเศรษฐกิจประเทศไม่ดี จึงคิดภาพว่าหากค่าแรงเพิ่มเป็น 600 บาท ต้นทุนผู้ประกอบการต้องเพิ่มขึ้น ซึ่งแน่นอนว่าหากคิดในวันนี้เดือดร้อนแน่ แต่พรรคนั้นพูดถึงเศรษฐกิจภาพรวมทั้งประเทศที่จะเติบโตพร้อมๆ กันทั้งระบบ ซึ่งทั้งนายจ้างและลูกจ้างได้ประโยชน์ทั้ง 2 ฝ่าย

“วันนี้ไม่แปลกเลยที่คนจะคิดว่าต้นทุนจะเพิ่มขึ้น วันนี้ยังคิดไม่ได้ ค่าแรงขึ้นเป็น 600 บาท ยังคิดไม่ได้ เพราะเศรษฐกิจยังไม่ดี เมื่อเศรษฐกิจดีทั้งระบบแล้วจะไปโดยธรรมชาติของเศรษฐกิจ การเติบโตเศรษฐกิจเราต้องการเติบโตทั้งระบบทั้งประเทศ คนทุกชนชั้น คนทุกฐานะได้รับประโยชน์ ได้มีโอกาสได้มีศักดิ์ศรี มีเกียรติที่จะสามารถออกมาใช้ชีวิตจับจ่ายใช้สอย ลดหนี้สิน ดูแลครอบครัวได้” แพทองธาร ระบุ

สำหรับประเด็นข้อเถียงเรื่องการปรับค่าจ้างนั้นไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่มีมาทุกครั้งที่มีข่าวว่าจะปรับ ระหว่างฝ่ายสนับสนุนที่มองว่าจะทำให้แรงงานมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น โดยบางส่วนมองไปไกลถึงการเปลี่ยนจากค่าจ้างขั้นต่ำ (Minimum Wage) เป็นค่าจ้างที่เหมาะสมกับการดำรงชีพ (Living Wage) เพื่อให้แรงงานทุกคนอยู่ได้สมศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ในขณะที่ฝ่ายคัดค้านกังวลผลกระทบด้านต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น และเมื่อผู้ประกอบการแบกรับไม่ไหวก็อาจย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศที่ค่าจ้างถูกกว่า หรือใช้เครื่องจักรเข้ามาทดแทนแรงงานคน!!!

SCOOP@NAEWNA.COM

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top