แม้ว่าความยากจนเป็นสิ่งที่ไม่มีใครต้องการ แต่การ “ขจัดความยากจน” ก็เป็นสิ่งที่ยาก จึงต้องเดินหน้าสู่การเชื่อมโยงและการเปิดใจของทุกพื้นที่ที่จะมีเป้าหมายเดียวกัน คือ นำเกษตรคนเมือง “ขจัดความยากจน”
“จีน” เป็นประเทศตัวอย่างที่เดินหน้าขจัดความยากจนอย่างเข้มข้นมาตลอด 40 ปี และ ตั้งแต่ปี 2012 เป็นต้นมา ประเทศจีนได้ขับเคลื่อนมาตรการขจัดความยากจนอย่างละเอียดแม่นยำ ตรงจุดตรงเป้าหมายและล็อกเป้าเป็นรายบุคคลได้อย่างแม่นยำเช่นกัน โดยหนึ่งในยุทธการขจัดความยากจน คือ การพัฒนาคน ซึ่งหนังสือ “คำสำคัญ เพื่อเข้าใจประเทศจีน” ฉบับขจัดความยากจนอย่างตรงจุด เขียนไว้อย่างน่าสนใจว่า “การขจัดความยากจนจึงกลายเป็นข้อเรียกร้องพื้นฐานในการพัฒนาศักยภาพของคนอย่างรอบด้าน สังคมนิยมไม่พียงแต่ต้องการบรรลุเป้าหมายด้านปากท้องและความอบอุ่นกายของประชาชนเท่านั้น แต่ยังต้องการให้ประชาชนได้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่งดงามและพัฒนาอย่างรอบด้าน ด้วยเป้าหมาย “พัฒนามนุษย์อย่างรอบด้าน” โดยมีความหมายว่า การขจัดความยากจนนั้นไม่เพียงแต่เป็นปลดแอกจากข้อจำกัดที่ผูกมัดเศรษฐกิจอันเกิดจากประชากรกลุ่มยากจนเท่านั้น แต่ยังหมายถึงต้องทำให้ความประสงค์ที่จะมุ่งสู่การมีคุณภาพชีวิตที่ดีของพวกเขานั้นเกิดขึ้นเป็นจริงให้ได้
“ท่านสี จิ้นผิง” จึงเรียกร้องว่า จะต้องยึดมั่นในวิสัยทัศน์การพัฒนาศักยภาพบุคลากรอย่างรอบด้าน นำมาเป็นหลักคิดชี้นำการขจัดความยากจน สร้างความหลากหลายและสมบูรณ์ด้านวัฒนธรรมและคุณภาพชีวิตให้กับพื้นที่ยากจน เสริมการพัฒนาสังคมในพื้นที่ยากจน ยกระดับการศึกษา วัฒนธรรม สุขภาพและคุณสมบัติโดยรวมของประชาชนในพื้นที่ยากจน อันเป็นการกระตุ้นให้เกิดการปรับปรุงและยกระดับทั้งจิตวิญญาณภายในและภาพลักษณ์ภายนอก สำหรับพื้นที่ยากจนและประชาชนผู้ยากจนทั้งหมด
แต่เป้าหมายของจีนก็พบกับอุปสรรคเช่นกันในระยะแรกเริ่ม โดยหนังสือเล่มนี้ระบุว่า ก่อนที่จะมีการปฏิรูปเศรษฐกิจและเปิดประเทศ การยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนนั้นเป็นไปได้อย่างเชื่องช้า ทำให้ข้อได้เปรียบอันเป็นจุดเด่นของระบอบสังคมนิยมไม่สามารถสะท้อนให้เห็นได้อย่างเต็มที่ เพื่อให้แสดงถึงความได้เปรียบอันเป็นจุดเด่นของระบอบสังคมนิยมนี้ ก็ต้องทำให้ผู้คนมีชีวิตที่ร่ำรวยมั่งคั่งขึ้นมาก่อน
แต่เนื่องด้วยทัศนคติผิดๆ บางอย่างที่ผูกมัดและจำกัดความคิดของผู้คนอย่างรุนแรง กลายเป็นข้อจำกัดต่อการพัฒนากำลังการผลิต ด้วยเหตุนี้ ท่านเติ้ง เสี่ยวผิง จึงนำเสนอนโยบายและวิสัยทัศน์ว่า “คนที่ร่ำรวยก่อนชักนำให้เกิดการรวยร่วมกัน” โดยมีวัตถุประสงค์ที่จะกระตุ้นให้เกิดความกระตือรือร้นและพลังการสร้างนวัตกรรมใหม่ของมวลมหาประชาชน ท่านเติ้ง เสี่ยวผิ้ง ชี้ว่า เราส่งเสริมให้บางพื้นที่ร่ำรวยขึ้นมาก่อน เพื่อสร้างแรงบันดาลใจในการกระตุ้นและชักนำให้พื้นที่อื่นๆ เกิดความร่ำรวยตามขึ้นมา และให้พื้นที่ที่ร่ำรวยก่อน ช่วยเหลือพื้นที่ที่ยังล้าหลังได้รับการพัฒนาอย่างดียิ่งขึ้น การสนับสนุนให้ประชาชนบางส่วนร่ำรวยขึ้นมาก่อนก็เป็นวิสัยทัศน์หลักคิดเดียวกัน ในบางพื้นที่หรือคนบางกลุ่ทสามารถ มั่งคั่งขึ้นมาก่อน กลายเป็นแรงดึงที่ชักนำและช่วยเหลือพื้นที่อื่นๆ และ บุคคลอื่นๆ มีความมั่งคั่งเพิ่มขึ้น และ ก้าวไปสู่เป้าหมายมั่งคั่งร่วมกัน
ตลอด 40 ปี ในการปฏิรูปและเปิดประเทศ ประเทศจีนประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ในการพัฒนาสภาพเศรษฐกิจและสังคม ทำให้ประชากรที่ยากจนนับหลายร้อยล้านคนสามารถหลุดพ้นจากความยากจน ซึ่งคิดเป็นความสำเร็จลุล่วงมากกว่า 70% ของภารกิจขจัดความยากจนในประชากรทั่วโลกในขณะนี้
ส่วนข้อมูลที่น่าสนใจอีกด้านคือ ธนาคารโลกประจำประเทศไทยเปิดเผยข้อมูลเมื่อวันที่ 5 มีนาคม พ.ศ.2563 ระบุว่าประเทศไทยมีตัวชี้วัดระดับสากลด้านภาวะความเป็นอยู่ที่ดีในระดับที่ดี เช่น การเข้าเรียนของเด็กปฐมวัย การมีน้ำใช้ สุขาภิบาล และการมีไฟฟ้าใช้ดีกว่าประเทศเพื่อนบ้านในกลุ่มอาเซียน อีกทั้ง อัตราความยากจนระดับรุนแรงของประเทศไทยที่ใช้มาตรฐานสากลเป็นตัววัด คือจำนวนประชากรที่มีรายได้ต่ำกว่า 1.90 เหรียญสหรัฐต่อวันมีเพียงร้อยละ 0.03 แต่ความเหลื่อมล้ำยังคงเป็นประเด็นสำคัญของประเทศไทย ความมั่งคั่งยังคงไม่ได้กระจายอย่างทั่วถึงไปสู่ประชากรที่มีรายได้ต่ำล่างสุดร้อยละ 40 ได้ดีนัก ในช่วงปี 2558-2560 ที่ผ่านมายังพบว่า ประชากรกลุ่มนี้มีการบริโภคและรายได้ติดลบอีกด้วย แนวโน้มการเติบโตที่พลิกผันของกลุ่มประชากรกลุ่มนี้ในช่วงเวลาดังกล่าวนี้ เกิดจากรายได้แรงงานทุกประเภทลดลง รวมถึงการหยุดนิ่งของการเพิ่มค่าแรง และรายได้จากภาคการเกษตรและธุรกิจลดลง
ขณะที่งานวิจัยของ ผศ.ดร.สมพร โกมารทัต และคณะ (2560) เรื่อง “การสำรวจสถานะเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนในบริบทประเทศไทย และทางเลือกมาตรการทางเศรษฐศาสตร์ สังคม และกฎหมาย เป้าหมายที่ 1 ขจัดความยากจน” สนับสนุนโดยสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) เพื่อสำรวจสถานะและศักยภาพของประเทศไทยในการบรรลุซึ่งการขจัดความยากจนทุกรูปแบบในทุกพื้นที่ ให้ข้อมูลว่า ในประเทศไทยแค่ไหนที่เรียกว่าจน โดยให้เกณฑ์ในการดู 2 ข้อ ได้แก่
หนึ่ง แนวคิดการวัดความยากจนแบบสัมบูรณ์ คือ การแบ่งกลุ่มคนออกจากกัน โดยใช้เกณฑ์ค่าครองชีพขั้นต่ำสุดที่มนุษย์จะดำรงชีพได้เป็นตัวแบ่ง วิธีการนี้รู้จักกันในชื่อ ‘เส้นความยากจน’ ใครที่มีรายได้ต่ำกว่าเส้นความยากจน คนนั้นจะถือว่าเป็นคนจน
สอง แนวคิดการวัดความยากจนแบบสัมพัทธ์ คือ การนิยามความจนโดยเปรียบเทียบกับคนกลุ่มอื่นๆ ในสังคม อย่างการนำรายได้สุทธิของประชากรมาเปรียบเทียบกัน เช่น กำหนดว่า ร้อยละ 10 ของคนมีรายได้ต่ำสุดถือเป็นคนจน หรือกำหนดจากรายได้เฉลี่ย เช่น 30,000 บาท ถ้าใครมีเงินต่ำกว่าร้อยละ 50 หรือ 15,000 บาทก็ถือว่าเป็นคนจน เป็นต้นประเทศไทยใช้แนวคิดการวัดความยากจนแบบสัมบูรณ์เป็นเกณฑ์ ซึ่งมีการคำนวณเพื่อกำหนดเส้นความยากจนทุกปี โดยการคำนวณจะพิจารณาจากค่าใช้จ่ายขั้นต่ำในการดำรงชีวิต ประกอบด้วย ค่าอาหารและสินค้าบริการจำเป็นขั้นพื้นฐาน และในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา เส้นความยากจนของประเทศไทยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยในปี 2550 อยู่ที่ 2,006 บาทต่อเดือน ปี 2555 อยู่ที่ 2,492 บาทต่อเดือน และปี 2559 อยู่ที่ 2,667 บาทต่อเดือน ตัวเลขปีล่าสุดสะท้อนว่าแต่ละวันคนไทยจะต้องหาเงินสร้างรายได้ให้ได้อย่างน้อย 89 บาทต่อวัน ถ้าคิดเป็นรายปีก็เท่ากับ 32,004 บาทต่อปี ผู้มีรายได้ต่ำกว่านี้จะนับว่าเป็นคนจนในสังคมไทย
ปัจจุบัน มีหน่วยงานหลายหน่วยงานที่มีความตั้งใจจะ “ขจัดความยากจน” ในไทย อาทิ “ศูนย์วิจัยและสนับสนุนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน หรือ Centre for SDG Research and Support (SDG Move) ตั้งขึ้นในปี 2559 โดยมีเป้าหมาย 17 เป้าหมาย อาทิ เป้าหมายที่ 1 “No Poverty” ขจัดความยากจนทุกรูปแบบในทุกพื้นที่ (End poverty in all its forms everywhere) เป็นเป้าหมายที่ว่าด้วยการลดความยากจนทั้งทางเศรษฐกิจ รวมทั้งความยากจนในมิติอื่น ๆ, เป้าหมายที่ 2 “Zero Hunger” ยุติความหิวโหย บรรลุความมั่นคงทางอาหารและยกระดับโภชนาการและส่งเสริมเกษตรกรรมที่ยั่งยืน (End hunger, achieve food security and improved nutrition and promote sustainable agriculture) มีเป็นประด็นที่ครอบคลุมประเด็นต่าง ๆ , เป้าหมายที่ 3 “Good Health and Well Being” สร้างหลักประกันว่าคนมีชีวิตที่มีสุขภาพดีและส่งเสริมสวัสดิภาพสาหรับทุกคนในทุกวัย (Ensure healthy lives and promote well-being for all at all ages) ครอบคลุมประเด็นด้านสุขภาพและสวัสดิภาพที่สำคัญหลายประเด็น และ ฯ
รวมทั้งเมื่อวันที่ 21 มิถุนายน พ.ศ.2565 “คณะรัฐมนตรี” มีมติเห็นชอบแนวทางการขับเคลื่อน “การขจัดความยากจนและพัฒนาคนทุกช่วงวัยอย่างยั่งยืนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง” โดยมีศูนย์อำนวยการขจัดความยากจนและพัฒนาคนทุกช่วงวัยอย่างยั่งยืนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง (ศจพ.) ในระดับต่าง ๆ และทีมปฏิบัติการขจัดความยากจนและพัฒนาคนทุกช่วงวัยอย่างยั่งยืนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงในระดับพื้นที่ และ คณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบให้ดำเนินการพัฒนาต้นแบบ ศจพ. นำร่อง “ศจพ. Model” ร่วมกับ ศจพ. ในระดับพื้นที่ เพื่อพัฒนาต้นแบบที่สามารถนำไปขยายผลในพื้นที่อื่นที่มีความสอดคล้องกับภูมิสังคมและบริบทของพื้นที่ต่อไป โดยส ำนักงานฯ ได้พิจารณาคัดเลือกพื้นที่ต้นแบบ 6 พื้นที่ ใน 3 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดนครสวรรค์จังหวัดสระบุรีและจังหวัดอุดรธานี รวมถึง การพัฒนาคนทุกช่วงวัยในระดับพื้นที่ตามแนวทางฯ เพื่อให้ประชาชนกลุ่มเป้าหมายได้รับการพัฒนาให้สามารถ “อยู่รอด พอเพียง และยั่งยืน” โดยใช้ระบบบริหารจัดการข้อมูลการพัฒนาคนแบบชี้เป้า (Thai People Map and Analytics Platform : TPMAP) เป็นเครื่องมือหลักในการดำเนินงาน โดยมีหนังสือที่เป็นวาระเร่งด่วน โดย “นายวันฉัตร สุวรรณกิตติ” รองเลขาธิการสภาพัฒนาการเและศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กรรมการและเลขานุการ คณะกรรมการขจัดความยากจนและพัฒนาคน ทุก ช่วงวัยอย่างยั่งยืนตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง แจ้งไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
ขณะที่แผนยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศ 20 ปี (พ.ศ. 2560 – 2579) ภายใต้วิสัยทัศน์ “ประเทศมีความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน เป็นประเทศพัฒนาแล้ว ด้วยการพัฒนาปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง” ซึ่งกำหนดให้เกิดการพัฒนาศักยภาพด้านภาคการเกษตรของประเทศ และ การสร้างความสามารถในการแข่งขัน เพื่อส่งเสริมเกษตรกรให้มีศักยภาพสู่การทำการเกษตรยั่งยืนและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยส่วนที่สำคัญประการหนึ่งในการเพิ่มศักยภาพภาคการเกษตรด้วยการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล อีกทั้งยังเป็นการสร้างโอกาสและความเท่าเทียมกันในการเข้าถึงเทคโนโลยีดิจิทัล
เว็บไซต์ “https://www.depa.or.th” ระบุว่า จากข้อมูลภาวะความยากจนของประชากรไทย พบว่า กลุ่มคนที่ประสบภาวะยากจนจำนวนมากนั้นอยู่ในภาคเกษตรแทบทั้งสิ้น โดยครัวเรือนที่ประกอบอาชีพเกษตรกรส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่ชนบท ซึ่งหากพิจารณาในมิติของรายได้ พบว่า จัดเป็นกลุ่มผู้มีรายได้ต่ำเพียงเฉลี่ยเดือนละประมาณ 5,000 บาท คิดเป็น 1 ใน 3 ของรายได้เฉลี่ยต่อเดือนของแรงงานนอกภาคเกษตรที่อยู่ที่ 16,000 บาท และหากพิจารณา ในเชิงลึก จะพบว่าในจำนวนนั้นส่วนใหญ่เป็นเพียงเกษตรกรรายเล็ก ประมาณร้อยละ 40 ถือครองที่ดินเพียง 1 - 10 ไร่ และอีกร้อยละ 8 ไม่มีที่ดินทำกิน และพบว่า เกษตรกรส่วนใหญ่ต้องพึ่งพาสภาพภูมิอากาศในการทำการเกษตร ซึ่งเป็นปัจจัยที่ไม่สามารถควบคุมได้ และส่งผลกระทบต่อปริมาณและคุณภาพของผลผลิตของเกษตรกรเป็นอย่างมาก ทำให้สมาชิกครัวเรือนบางส่วนจึงต้องเคลื่อนย้ายแรงงานไปยังนอกภูมิภาคและนอกภาคเกษตรเพื่อหารายได้อื่น ๆ เป็นแหล่งรายได้สนับสนุนอีกทางหนึ่ง ซึ่งจากปัจจัยทั้งทางด้านมิติของรายได้ และการพึ่งพาสภาพภูมิอากาศนั้นมีส่วนเกี่ยวเนื่องเชื่อมโยงกันเป็นผลให้เกษตรกรเป็นอาชีพที่ไม่สามารถให้ความมั่นคงกับครัวเรือน มีรายได้ไม่เพียงพอต่อการใช้จ่าย
สภาพปัญหาที่เกษตรกรส่วนใหญ่ต้องเผชิญ ทำให้การทำ “เกษตรคนเมือง” ซึ่งไม่ต้องใช้พื้นที่จำนวนมาก จะตอบโจทย์ปัญหาความยากจนของเกษตรกรไทย ซึ่งปัจจุบันเกษตรกรไทยมีปัจจัยหลายด้านที่เปลี่ยนแปลงไป ทั้งการถือครองที่ดินที่ลดลง และ สภาพภูมิอากาศที่ไม่สามารถควบคุมได้มากขึ้นเพราะผลกระทบจากภาวะโลกร้อน (Climate Change) รวมไปถึงภาระหนี้ต่อครัวเรือน
แต่การทำให้ “เกษตรคนเมือง” เป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนแก้ปัญหาความยากจน หรือ “ขจัดความยากจน” ได้อย่างเป็นรูปธรรมนั้น ทุกองคาพยพทั้งภาครัฐและภาคเอกชนต้องร่วมมือกันขับเคลื่อน โดยมีกลไกตรวจสอบงบประมาณที่จะถึงมือเกษตรกรอย่างทั่วถึง และ เป็นธรรม ไม่ตกอยู่ภายใต้อำนาจทางการเมืองจนทำให้ต้องมีการหักเปอร์เซนต์เพื่อแบ่งให้กับระบบการเมืองท้องถิ่นอย่างที่ผ่านมา ซึ่งนั่นหมายถึง การทำให้การปกครองส่วนท้องถิ่นเปิด “หัวใจ” สู่ความเมตตาต่อเกษตรกรอย่างแท้จริง ที่จะนำเงินงบประมาณในโครงการต่างๆ โดยเฉพาะโครงการที่เกี่ยวกับ “การขจัดความยากจน” ถึงมือเกษตรกรอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย
ขอบคุณข้อมูล
https://knowledgefarm.tsri.or.th/thailand-and-sdgs-1/
https://www.sdgmove.com/sdg-101/
https://www.depa.or.th/th/article-view/agriculture-alternative-way-of-survival
http://nscr.nesdc.go.th/wp-contenthttps://static.naewna.com/uploads/2022/11/pelcd-interior-221165.pdf
https://www.worldbank.org/th/news/press-release/2020/03/03/thailands-poverty-on-the-rise-amid-slowing-economic-growth
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี