สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ร่วมกับสำนักงานข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (OHCHR) ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UNDP) ประเทศไทย และภาคีเครือข่าย จัดงานวันสิทธิมนุษยชน 10 ธันวาคม ประจำปี 2565 ภายใต้แนวคิด “การขจัดความรุนแรงในครอบครัว” เมื่อวันที่ 13 ธ.ค. 2565 ที่ผ่านมา ณ หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร โดยหนึ่งในกิจกรรมของงาน คือวงเสวนาหัวข้อ “ร่วมสร้างสังคมที่ปราศจากความรุนแรงในครอบครัว” มีวิทยากร 5 ท่านเข้าร่วม และมี วสันต์ ภัยหลีกลี้ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เป็นผู้ดำเนินรายการ
รุ่งทิวา สุดแดน รองอธิบดีกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) เปิดเผยว่า จากสถิติเริ่มเก็บตั้งแต่ปี 2560-2564 พบผู้ถูกกระทำความรุนแรงในครอบครัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยปี 2560 อยู่ที่ราว 1,100 ราย ปี 2561 เพิ่มเป็น 1,200 ราย ปี 2562 เพิ่มเป็น 1,500 ราย ปี 2563 เพิ่มเป็นราว 1,700 ราย และปี 2564 เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ประมาณ 2,000 ราย แต่ต้องย้ำว่า “นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น” เพราะยังมีอีกหลายกรณีเพียงแต่ไม่ถูกเปิดเผยให้เป็นที่รับรู้กับคนภายนอก
ทั้งนี้ ความรุนแรงในครอบครัวเกิดจากปัญหาสัมพันธภาพในครอบครัวที่ไม่ดี ขณะที่ในช่วงสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 ซึ่งเชื่อมโยงกับผลกระทบด้านเศรษฐกิจ หลายครัวเรือนจึงมีปัญหาทางการเงินแล้วเกิดความเครียด ซึ่งทางกรมฯ ได้พัฒนาแพลตฟอร์ม “เพื่อนครอบครัว” เป็นช่องทางขอรับคำปรึกษาตั้งแต่ความรุนแรงทางกายภาพ (เช่น ถูกตบตีทำร้ายร่างกาย) ความรุนแรงทางจิตใจ (เช่น ลูกถูกเหยียดว่ามีพฤติกรรมไม่ตรงกับเพศสภาพ) ต่อมายังขยายไปถึงเรื่องอื่นๆ ที่เป็นประโยชน์ในการแก้ปัญหาชีวิต เช่น ปัญหาหนี้นอกระบบ ปัญหาคนรักนอกใจ ฯลฯ
“เรามีคนที่มาช่วยเราเยอะมาก กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข เขาก็เข้ามาพูดคุยช่วย เรื่องหนี้นอกระบบก็จะเป็นธนาคารแห่งประเทศไทย ป.ป.ส. (สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด) ก็จะเข้ามาดูแลในเรื่องของที่บ้านหนูติดยาไม่กล้าบอกพ่อแม่ อันนี้ก็จะมี 2 เวอร์ชั่นในเพจของเพื่อนครอบครัว 1.นอกจากให้คำปรึกษาแล้ว 2.องค์ความรู้ต่างๆ เราก็จะมีสอนอยู่อีกห้องหนึ่งซึ่งสามารถเข้าไปดูได้ เพื่อที่จะให้ครอบครัวอยู่กันอย่างอบอุ่นและเป็นสุข” รองอธิบดีกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว กล่าว
เช่นเดียวกับ วรภัทร แสงแก้ว หัวหน้ากลุ่มงานสังคมสงเคราะห์ทางการแพทย์ และศูนย์พึ่งได้ (OSCC) ที่กล่าวว่า OSCC หรือศูนย์พึ่งได้ เป็นหน่วยงานในโรงพยาบาลสังกัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ซึ่งต้องบอกว่า “บุคลากรทางการแพทย์ถือเป็นด่านหน้าในการรับมือปัญหาความรุนแรงในครอบครัว” จึงต้องเข้าใจกฎหมายที่เกี่ยวข้องหลายฉบับ อีกทั้งต้องประสานส่งต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และต้องมีมาตรการรักษาความปลอดภัยในโรงพยาบาล
“ท่านเชื่อไหม? ทำร้ายกันมา สามี-ภรรยา แทงกันมาไส้ไหลมาเลย แล้วต่างฝ่ายต่างหอบกันมาโรงพยาบาล มาที่เดียวกัน ER (ห้องฉุกเฉิน) เคยโดนแล้ว ญาติแต่ละฝ่ายโวยวายว่าห้ามหมอรักษาอีกคนหนึ่ง แล้วก็กระชากแขนแพทย์ คว่ำชุดทำแผลกระจายเลยใน ER ทุบกระจก นี่คือความเร่งด่วน ตำรวจต้องเข้ามา รปภ. เราก็เอาไม่อยู่ อันนี้ก็คือการ Set (วาง) ระบบความปลอดภัย” วรภัทร ระบุ
พล.ต.ต.ฐิตวัฒน์ สุริยฉาย ผู้บังคับการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี 4 เล่าว่า สมัยทำงานที่ จ.ชลบุรี เป็นการทำงานร่วมกับศูนย์ OSCC ซึ่งแพทย์จะแจ้งกับตำรวจว่ามีเหตุความรุนแรงในครอบครัวเกิดขึ้น แต่ขณะเดียวกันก็มองเห็นปัญหา เช่น พม. ที่ควรจะเป็นกระทรวงหลักกลับมีงบประมาณไม่มากนัก เช่น แต่ละจังหวัดอาจดูแลเด็กได้ไม่เกิน 50 คน หรือเมื่อเกิดเหตุล่วงละเมิดกับเด็ก โรงเรียนบางแห่งแทนที่จะให้ความสำคัญกับสิทธิเด็กแต่กลับห่วงชื่อเสียงของโรงเรียนมากกว่า เป็นต้น อีกด้านหนึ่ง “การประชาสัมพันธ์” ให้ความรู้ก็เป็นเรื่องสำคัญ
“ผมนอกจากจะทำเรื่องค้ามนุษย์และละเมิดทางเพศเด็กในอินเตอร์เนตแล้วยังมีเรื่องคอลเซ็นเตอร์ ตอนนี้มีผู้ใหญ่ระดับของรัฐบาลไปเอ่ยปากกับเอกชนรายหนึ่ง บอกว่าเดี๋ยวจะทำคลิปเรื่องคอลเซ็นเตอร์เป็นการเตือนภัย ผมจริงๆ ผมก็ทำเรื่องอาชญากรรมด้วย คอลเซ็นเตอร์ด้วย ผมก็อยากให้ผู้ใหญ่ของรัฐบาล หรือพี่ๆ ที่นั่งอยู่ตรงนี้ (ผู้ร่วมเสวนา) เอ่ยปากหรือว่าทำอย่างไรก็ได้ เราควรจะต้องทำการประชาสัมพันธ์ให้มากขึ้นกว่าเดิม ให้หน่วยงานซึ่งจริงๆ บริษัทมหาชนเขาจะต้องมี 1%
ซึ่งต้องมีการมอบเงินตรงนี้เพื่อสังคม เพื่อสาธารณะ” พล.ต.ต.ฐิตวัฒน์ ยกตัวอย่าง
ภูษา ศรีวิลาศ ผู้อำนวยการแผนงานการเลี้ยงดูทดแทน มูลนิธิก้าวหน้าพัฒนา (Step Ahead Foundation กล่าวถึงคำว่า “อำนาจและการควบคุม (Power & Control)” หมายถึง
ความสัมพันธ์ที่มีอำนาจไม่เท่าเทียมกัน บวกกับไม่มีช่องทางในการรับฟังและไว้เนื้อเชื่อใจ ย่อมทำให้ความรุนแรงเกิดขึ้นและผู้ถูกกระทำไม่กล้าขอความช่วยเหลือ ขณะเดียวกัน ยังมีผู้ที่ต้องทำหน้าที่ดูแลเด็กแทนพ่อแม่ที่แท้จริง ซึ่งต้องมีแนวปฏิบัติเป็นคำแนะนำให้ความรู้
“แนวปฏิบัติด้านการเลี้ยงดูทดแทนสำหรับเด็กแห่งสหประชาชาติ เป็นสิ่งที่เรากำลังจะบอกว่า เมื่อใดก็ตามที่เราหาเอกสารหรือหารูปแบบการเลี้ยงดูที่มาทดแทนพ่อแม่ที่กำลังประสบภาวะความรุนแรง เมื่อนั้นเราจะต้องทำให้เกิดความมั่นใจว่า บุคคลที่ทำหน้าที่ในการดูแลเด็ก เราจะเจอครูที่ดูแล วัดที่ตอนนี้มีวัดดูแลเด็กกำพร้า บุคคลเหล่านั้นจะทำหน้าที่เสมือนพ่อแม่ ด้วยการเลี้ยงดูที่อบอุ่นปลอดภัยอย่างไร” ภูษา กล่าวถึงคู่มือแนวปฏิบัติที่เป็นหลักสากล
ด้าน วาสนา เก้านพรัตน์ ผู้อำนวยการมูลนิธิศูนย์พิทักษ์สิทธิเด็ก กล่าวถึงกฎหมาย พ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก พ.ศ.2546 มาตรา 23 ที่ระบุว่า ผู้ปกครองต้องให้การอุปการะเลี้ยงดู
อบรมสั่งสอน และพัฒนาเด็กที่อยู่ในความปกครองดูแลของตนตามควรแก่ขนบธรรมเนียมประเพณีและวัฒนธรรมแห่งท้องถิ่น แต่ทั้งนี้ต้องไม่ต่ำกว่ามาตรฐานขั้นต่ำตามที่กำหนดในกฎกระทรวงและต้องคุ้มครองสวัสดิภาพเด็กที่อยู่ในความปกครองดูแลของตนมิให้ตกอยู่ในภาวะอันน่าจะเกิดอันตรายแก่ร่างกายหรือจิตใจ คำถามคือประชาชนทราบคือไม่ว่ามาตรฐานขั้นต่ำมีอะไรบ้าง
“ถ้าเราสามารถยุติความรุนแรงในครอบครัวได้ในเบื้องต้นเริ่มต้นจากการส่งเสริมให้เด็กได้รับการเลี้ยงดูตามมาตรฐานขั้นต่ำซึ่งจะครอบคลุม เรานึกถึงภาพว่าเราไม่ได้อยากจะเลี้ยงดูเด็กให้กินอิ่มนอนอุ่นเท่านั้น แต่ยังเป็นมาตรฐานขั้นต่ำคือหลายมิติ เนื่องจากเรายังไม่สามารถส่งเสริมให้ประชาชนเลี้ยงดูลูกได้ ลองนึกถึงภาพประเทศไทย เราชอบพูดว่าเด็กคืออนาคตของชาติ แต่ดูสิว่าผู้ใหญ่อย่างพวกเราลงมือทำกับอนาคตของชาติในวันนี้อย่างไร” ผอ.มูลนิธิศูนย์พิทักษ์สิทธิเด็ก กล่าว
หมายเหตุ : แนวปฏิบัติด้านการเลี้ยงดูทดแทนสำหรับเด็ก แห่งสหประชาชาติ (U.N. GUIDELINES FOR ALTERNATIVE CARE OF CHILDREN) สามารถดาวน์โหลดได้ที่เว็บไซต์ https://alternativecarethailand.com/th/resources/
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี