ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็เห็นแต่พื้นที่สีเขียวโอบกอดไว้ เป็นรูปตัว G กลางหุบเขาที่มีอากาศหนาวเย็นตลอดทั้งปี มีหมู่บ้านเล็กๆ ที่รู้จักกันดี...
“หมู่บ้านแม่กำปอง”
มนต์เสน่ห์ที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวเข้ามาสัมผัสกับบรรยากาศที่สงบ เรียนรู้วิถีชีวิตของชาวบ้าน การพูดจาของคนในหมู่บ้านไพเราะ มีน้ำใจ ถึงแม้จะเป็นหมู่บ้านเล็กๆ แต่เป็นที่รู้จักของนักท่องเที่ยวไปอย่างกว้างขวาง
มนต์เสน่ห์ของ “แม่กำปอง” ที่หลายคนหลงใหลคงหนีไม่พ้นธรรมชาติที่ยังคงสวยงาม และอากาศที่หนาวเย็นตลอดทั้งปี เหมาะสำหรับมาสูดอากาศให้เต็มปอด เดินเล่นชิลๆ เดินถ่ายรูป เดินหาของกิน ใช้ชีวิตแบบเรียบง่าย ใครชอบเที่ยวแบบ Slow life
แต่แน่นอนว่าเมื่อไรที่มีคนไปจำนวนมากหรือเป็นสถานที่ขึ้นชื่อ สิ่งแวดล้อมรอบๆ ย่อมมีการเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา จะเปลี่ยนไปมากน้อยแค่ไหน เปลี่ยนไปแล้วมีผลดีผลเสียต่อชุมชนหรือไม่?
ไม่มีใครจะรู้สึก
“สัมผัส” ถึงความเปลี่ยนแปลงได้ดีไปกว่า...
“ผู้คนแห่งแม่กำปอง”...
“อดีตพ่อหลวง” ธีรเมศร์ ขจรพัฒนภิรมย์ ประธานเครือข่ายการท่องเที่ยวโดยชุมชนจังหวัดเชียงใหม่ , ประธานการท่องเที่ยวโดยชุมชนแม่กำปอง และอดีตผู้ใหญ่บ้านแม่กำปอง เปิดเผยกับทีมข่าว “แนวหน้าออนไลน์” ถึงความพิเศษของชุมชนท่องเที่ยวแม่กำปอง ว่า แม่กำปองมีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาอย่างต่อเนื่อง และมีหลายปัจจัยเพราะตนจะไม่ทำให้เป็นเฉพาะท่องเที่ยวอย่างเดียว แต่สามารถแลกเปลี่ยนเรียนรู้ได้ด้วย สิ่งที่จูงใจนักท่องเที่ยวคือต้นทุนทางธรรมชาติ และการมีอัธยาศัยของคนในชุมชน รวมถึงอากาศที่เย็นสบายตลอดทั้งปี และจะมีนักท่องเที่ยวเป็นกลุ่มที่มาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ตนเป็นผู้บุกเบิกคนแรกและปี 2543 ตนเริ่มเปิดหมู่บ้านแม่กำปองเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ โดยรูปแบบการพักเป็นแบบโฮมสเตย์โดยให้นักท่องเที่ยวพักกับชาวบ้าน ปัจจุบันรูปแบบอย่างนั้นก็ยังมีอยู่ แต่มาตอนนี้มาในรูปแบบของบ้านพักก็เพิ่มขึ้น
“ต้นทุนเป็นตัวสำคัญ เช่น ต้นทุนทางธรรมชาติ ต้นทุนวิถีชีวิตของชุมชน ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะต้องมีอยู่ ถ้าเราไม่มีต้นทุนตรงนี้ให้ยั่งยืนอนาคตเราอาจจะเจอกับสิ่งที่เปลี่ยนไป ถ้าความเปลี่ยนแปลงมันเกิดขึ้นเยอะก็จะทำให้กระแสหรือความต้องการของนักท่องเที่ยวที่อยากมาสัมผัสวิถีดั้งเดิมก็จะลดน้อยลง ดังนั้นผมจะเน้นต้นทุนธรรมชาติมากที่สุด โดยเน้นการจัดการดูแลทรัพยากร และกรรมการหมู่บ้านจะตั้งกฎกติกาขึ้นมาภายในหมู่บ้าน หากใครจะสร้างสิ่งก่อสร้างขึ้นมาก็ต้องสร้างให้กลมกลืนกับธรรมชาติให้มากที่สุด เน้นให้เป็นวิถีแบบเดิมๆ และเน้นการปลูกฝังลูกหลานให้กลับมาทำงานบ้านเกิด”
อดีตผู้ใหญ่บ้านผู้บุกเบิกหมู่บ้านแม่กำปอง ให้ความเห็นอีกว่า มีความกังวลเกี่ยวกับนายทุน แต่ทางหมู่บ้านฯก็มีข้อกำหนดที่ชัดเจนอยู่แล้วตั้งแต่ ปี 2559 ซึ่งตนเห็นว่าน่าจะมีนายทุนเข้ามาแฝงอยู่ในหมู่บ้านฯ โดยคนที่เข้ามาอยู่ที่นี่ได้ต้องเป็นทายาท หากไม่เป็นทายาทก็ไม่สามารถที่จะเข้ามาประกอบธุรกิจได้ แต่ถ้าอยู่อย่างเดียวได้โดยไม่มีการประกอบธุรกิจใดๆ แต่ต้องมาทำข้อตกลงกันก่อน 10 ปีที่ผ่านมา
“หมู่บ้านแม่กำปองเราเปลี่ยนไป แต่เปลี่ยนไปในรูปแบบที่ว่า ลูกหลานที่ไปทำงานข้างนอกกลับเข้ามาอยู่กับพ่อแม่มาขยายกิจการ จากเดิมที่เป็นโฮมสเตย์ก็ทำเป็นบ้านพักเปิด ร้านค้าขึ้นมา จึงทำให้มีจำนวนบ้านเพิ่มขึ้น ตอนนี้บ้านของชาวบ้านที่อยู่จริงๆมีแค่ 120 หลังคาเรือน ที่เหลือเป็นบ้านพักทั้งหมด เมื่อก่อนจะเป็นพื้นที่โล่งทั้งหมด แต่เมื่อเศรษฐกิจดีขึ้นรายได้ของชาวบ้านก็ดีขึ้น การท่องเที่ยว 10 ปีหลังมานี้ผลตอบรับดีมาก ถือว่าอยู่ในความพอดี”
“อดีตพ่อหลวง” กล่าวว่า หากถามว่าการท่องเที่ยวจะกระทบต่อสิ่งแวดล้อมหรือไม่ มันก็จะกระทบในส่วนหนึ่ง แต่ส่วนหนึ่งก็ดีขึ้น ผมคิดว่าเราลดการตัดต้นไม้ไปส่วนหนึ่งเมื่อคนในหมู่บ้านหันมาประกอบกิจการ เพราะเมื่อก่อนคนในหมู่บ้านฯประกอบอาชีพปลูกใบเมี่ยงใบชา ซึ่งจะต้องมีการต้ม พอมีการต้มก็ต้องหาฟืนก็จะเข้าไปหาไม้ในป่ามา ผมเห็นว่าตรงนี้ช่วยให้ต้นทุนทางธรรมชาติกลับมาดีขึ้นได้
“ทุกวันนี้ผมกันนายทุนไม่ให้เข้ามาในหมู่บ้าน เพราะอย่างที่ถามมาว่ากลัวหรือไม่ว่าธรรมชาติจะหายไป ชาวบ้านจะขายที่ดินให้นายทุนมาทำกิจการภายในหมู่บ้านฯ ไม่ได้เด็ดขาด เพราะมีข้อห้ามและกติการ่วมกันอยู่ โดยจะมีบทลงโทษ โดยจะตัดสวัสดิการออกทั้งหมด หมู่บ้านแม่กำปองรายได้ส่วนหนึ่งทุกหลังจะต้องจ่ายสวัสดิการชุมชน เพื่อนำมาพัฒนาหมู่บ้าน ระเบียบก็คือระเบียบ ซึ่งในอดีตเคยมีเราผลักดันออกไปนอกหมู่บ้านเลย ผมยังเชื่ออยู่ว่าหมู่บ้านฯจะไม่ถูกกลืนไปโดยนายทุน เพราะผมเติมเต็มความคิดให้กับชาวบ้านตลอด” พ่อหลวงพรมมินทร์ พวงมาลา อดีตผู้ใหญ่บ้านแม่กำปอง กล่าว
สำหรับพื้นที่ของหมู่บ้านแม่กำปองนั้น เป็นเนื้อที่ประมาณ 6 ตารางกิโลเมตรกว่า พอเข้ามาในพื้นที่แม่กำปองขึ้นไปก็จะเป็นพื้นที่ทำกินของชาวบ้าน ลักษณะของหมู่บ้านฯจะเป็นเหมือนรูปตัว G ซึ่งศูนย์กลางของหมู่บ้านแม่กำปองก็คือ “วัดคันธาพฤกษา” หรือ “วัดแม่กำปอง” ซึ่งมีโบสถ์กลางน้ำ และพิพิธภัณฑ์เมี่ยงอยู่ด้วย
“ผมอยากเชิญชวนนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติ มาสัมผัสดูว่าระยะเวลา 20 ปีที่ผ่านมา ว่าธรรมชาติยังดีอยู่กับบรรยากาศที่เย็นสบายตลอดทั้งปี และไมตรีของชาวบ้านที่ยังเป็นดังเดิม และหากมาแม่กำปองมาแล้วต้องมาหา “ยำใบเมี่ยง-เทมปุระใบเมี่ยง” กินดู เพราะถือว่าเป็นอาชีพดั้งเดิมของชาวบ้านแม่กำปอง” พ่อหลวงพรมมินทร์ พวงมาลา อดีตผู้ใหญ่บ้านแม่กำปอง กล่าวทิ้งท้าย
ขณะที่ “พี่น้อย” ชาวบ้านรายหนึ่งให้ความเห็นว่า ตนอยู่ที่แม่กำปองมาตั้งแต่ ปี 2539 ตั้งแต่ค่าแรงงานเมื่อก่อนถ้าเป็นผู้หญิง 130 บาท ผู้ชาย 150 บาท แต่ตอนนี้ ผู้หญิง 500 บาท และผู้ชายถ้าต่ำกว่า 600 บาท ก็จะไม่ทำ เป็นเพราะการท่องเที่ยวและความเจริญเข้ามาสังคมชีวิตของชาวบ้านเปลี่ยนไป จากเมื่อก่อนเป็นคนมีจิตใจที่ดีกับเพื่อนกับฝูง แต่ตอนนี้จะกลายเป็นนักธุรกิจ คนหนุ่มที่พอมีกำลังก็จะออกรถมารับนักท่องเที่ยว ผู้หญิงก็จะมาขายของให้นักท่องเที่ยว
“วิถีชีวิตล้วนมีแต่เงินนำหน้า ซึ่งต่างจากเมื่อก่อนไหว้วานเด็กๆทำโน้นทำนี้เล็กๆน้อยก็อาสาช่วย แต่ตอนนี้กลับต้องจ้างถึงจะทำ ตอนนี้การท่องเที่ยวกลืนวิถีชีวิตของชาวบ้านหมด การท่องเที่ยวดีในเชิงอนุรักษ์ การท่องเที่ยวไม่ดีเพราะทำให้ของทุกอย่างแพงไป ชีวิตของชาวบ้านกลายเป็นคนเมืองคือต้องหาเงิน หากมองในแง่ความเป็นอยู่เงินทองดีขึ้น แต่สังคมความเป็นอยู่ของชาวบ้านเปลี่ยนไป แน่นอนว่าคนรุ่นเก่าไม่ชอบ เพราะเสียงดังรบกวน นักท่องเที่ยวพุกพล่าน พักผ่อนไม่เต็มที่ จากหมู่บ้านที่สงบ แต่คนรุ่นใหม่ชอบ อย่าลืมว่า แม่กำปองดีที่สุด คือ อากาศดี , อารมณ์ดี , อาหารดี” พี่น้อย กล่าว
ทั้งนี้ ขณะที่ “ทีมข่าวแนวหน้าออนไลน์” ได้ลงพื้นที่ ก็ได้พูดคุยกับ ชาวบ้านรายหนึ่งเล่าความเป็นมาของแม่กำปองให้ฟังว่า โฮมสเตย์ตอนนี้มีนิดเดียว แต่บ้านพักมีจำนวนมาก ยังไงถึงจะเป็นโฮมสเตย์ก็ไม่ได้พักกับชาวบ้านแล้วเหมือนกัน เพราะแยกออกไปคล้ายๆบ้านพัก แต่มีห้องมาสร้างติดกับบ้าน ไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว ที่เมื่อก่อนจะมีนักท่องเที่ยวมาพักที่บ้านของชาวบ้านจริงๆ เรียกมากินข้าวล้อมวงกัน แต่ตอนนี้รายได้มันเพิ่มขึ้นก็จริง แต่มันก็ไม่มีความสุขเหมือนเมื่อก่อน แม่ทำโอมสเตย์ตั้งแต่ ปี 2543 ตอนนี้ก็มีลูกหลานมาทำต่อเป็นแบบบ้านพักเป็นห้องๆ
“ตอนนี้กฎระเบียบของหมู่บ้านเปลี่ยนไป ตั้งแต่เปลี่ยนพ่อหลวง (ผู้ใหญ่บ้าน) มันไม่เหมือนเดิมแล้ว หละหลวมไปหมดทุกอย่าง แม่กลัวธรรมชาติมันจะหายไป คนเก่าแก่แบบเราก็คิดถึงบรรยากาศแบบเดิมๆ เพราะเมื่อก่อนแม่กำปองดีมากเดี่ยวนี้แย่ เงินไม่มีค่า ถ้าแลกกับความสุข ความรู้สึกเหมือนเมื่อก่อน เมื่อก่อนเดินไปทักทายเพื่อนบ้านพูดคุยกัน แต่ปัจจุบันถ้าเราไม่ทักเขา เขาก็ไม่ทักเรา แต่เราเป็นเจ้าบ้านที่ดีเมื่อนักท่องเที่ยวมาพักเราก็ต้องต้อนรับอย่างดี” ชาวบ้านในหมู่บ้านแม่กำปอง กล่าวทิ้งท้าย
เชื่อว่าหลายคนอาจจะเกิดคำถามขึ้น? หากย้อนกลับไปสัก 10 ปีก่อน จะรู้ได้เลยว่ากลิ่นไอ และเสน่ห์ที่น่าหลงใหลของ “แม่กำปอง” ถูกกลืนไปด้วยวัตถุนิยม หรือทุนนิยม ผู้คนเดินกันพลุกพล่าน ไม่ต่างกับสถานที่เที่ยวทั่วไป คนในพื้นที่ต่างขยายอาณาจักรของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นบ้านพัก ร้านค้า คาเฟ่ เพื่อรอต้อนรับนักท่องเที่ยวที่เข้ามาไม่ขาดสาย
แน่นอนธรรมชาติที่ "แม่กำปอง" ไม่เคยเปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย แต่สิ่งที่เปลี่ยนไป “ลึกๆ” แล้วมันคืออะไร?!! "เบื้องลึก" ของ "ชาวบ้าน" และ "ผู้มาเยือน" คงมี "คำตอบ" อยู่ในส่วน "ลึก" ของจิตใจ!?!?!
.-008
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี