“53.4 ตารางกิโลเมตร” เป็นเนื้อที่ของ “เมืองพัทยา” ซึ่งแม้จะคิดเป็นเพียงร้อยละ 1.2 โดยประมาณเมื่อเทียบกับพื้นที่ทั้งหมดของจังหวัดชลบุรี อันเป็นสถานที่ตั้งของเมือง แต่ที่นี่มีชื่อเสียงในฐานะแหล่งท่องเที่ยวระดับโลกตั้งแต่ชายหาดตอนกลางวันไปจนสถานบันเทิงยามราตรี กระทั่งบางครั้งชาวต่างชาติยังรู้จักพัทยามากกว่าชลบุรี หรือเข้าใจว่าพัทยาคือชลบุรีเสียด้วยซ้ำไป อย่างไรก็ตาม การแป็นเมืองที่มีผู้คนหนาแน่นทั้งนักท่องเที่ยวและผู้ประกอบกิจการต่างๆ ก็เป็นธรรมดาเหมือนกับเมืองใหญ่ทั่วไปที่มักมีปัญหาตามมาหลายประการ
เมื่อช่วงปลายเดือน ธ.ค. 2565 สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) จัดเวทีสมัชชาสุขภาพสากลเมืองพัทยา ครั้งที่ 1 ปี 2565 “เมืองแห่งการท่องเที่ยวที่เป็นมิตรกับสุขภาพ” โดยมีประชาชนในพื้นที่ร่วมประชุมเพื่อสะท้อนปัญหาในประเด็น “การจัดการพื้นที่สาธารณะทางเศรษฐกิจแบบมีส่วนร่วม” อาทิ ธนกร สุขขี ประธานคณะทำงานธรรมนูญชุมชนเกาะล้าน กล่าวถึงนโยบายการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติในเมืองพัทยา ไล่ตั้งแต่ลำคลอง ชายหาดและแนวปะการังตามเกาะต่างๆ ซึ่งมีผู้เกี่ยวข้องกับการใช้ทรัพยากรอย่างหลากหลาย
ทั้งประชาชนทั่วไป ผู้ประกอบการธุรกิจ นักท่องเที่ยว โดยทุกฝ่ายต้องได้ใช้ทรัพยากรอย่างเท่าเทียมกัน แต่ปัจจุบันยังพบความไม่เป็นธรรม เช่น มีการปล่อยน้ำเสียลงคลองและการบุกรุกพื้นที่คลองซึ่งเชื่อมโยงกับปัญหาน้ำเน่าเสียและน้ำท่วม ผลกระทบนี้ยังขยายวงไปถึงชายหาด ทะเลและปะการัง ขณะที่ชาวเกาะล้านยังกังวลกับปัญหาอาชญากรรม เนื่องจากไม่มีสถานีตำรวจในพื้นที่ มีเพียงตู้ยามของตำรวจภูธร และตู้สายตรวจของตำรวจท่องเที่ยวเท่านั้น จึงไม่มีร้อยเวรรับแจ้งความที่เกาะล้าน
รวมถึงเจ้าหน้าก็มีจำนวนน้อยเพราะการไม่มีสถานีตำรวจก็เป็นข้อจำกัดด้านที่พัก ส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ทั้งๆ ที่เกาะล้านเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียง มีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าไปเป็นจำนวนมาก บางช่วงสูงถึง 2 หมื่นคน การตั้งสถานีตำรวจและจัดกำลังเจ้าหน้าที่มาประจำการจึงมีความสำคัญ แต่ยังติดปัญหาเรื่องที่ดิน ทำให้ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ไม่สามารถตั้งสถานีตำรวจบนเกาะล้านได้
ประเสริฐศักดิ์ เหล่าประเสริฐผู้แทนกรรมการเครือข่ายผู้ปกครอง สะท้อนปัญหาสัตว์จรจัดถ่ายมูลลงพื้นเรี่ยราด บนพื้นที่สาธารณะที่มีผู้คนไปใช้ประโยชน์ในการออกกำลังกาหลายครั้งคนที่มาวิ่งต้องวิ่งไปหลบไป คำถามคือเมืองพัทยาจะแก้ปัญหานี้อย่างไร ขณะเดียวกัน คนที่ออกกำลังกายก็อาจจะพาสัตว์เลี้ยงมาด้วย จะทำอย่างไรให้สัตว์เลี้ยงเหล่านี้ไปขับถ่ายในพื้นที่ที่เหมาะสม
วาสนา กาญจโนดิลก ประธานกลุ่มวิสาหกิจชุมชนสบู่ผลิตภัณฑ์ประทินผิวเมืองพัทยา กล่าวถึง “ธรรมนูญกลุ่มอาชีพ” เรียกร้องให้เมืองพัทยาจัดหาสถานที่สำหรับให้กลุ่มอาชีพต่างๆนำผลิตภัณฑ์ไปจำหน่าย ซึ่งวิสาหกิจชุมชนสบู่ผลิตภัณฑ์ประทินผิวเมืองพัทยา ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 2561 ขึ้นทะเบียนเป็นวิสาหกิจชุมชน และผลิตภัณฑ์ก็อยู่ในกลุ่มโอท็อป (OTOP) ของพัทยา แต่ยังไม่มีพื้นที่จำหน่าย
นภาพรรณ อรรถเดโช ตัวแทนชุมชนตลาดเก่านาเกลือ กล่าวถึงประเด็น “ความกังวลด้านที่อยู่อาศัย” โดยจุดที่ชุมชนตั้งอยู่แต่เดิมเคยเป็นคลองมาก่อนแต่มีการถมดินในภายหลัง ซึ่งทางกรมเจ้าท่าก็ได้มีใบอนุญาตมอบให้ชุมชนไปดำเนินการออกโฉนดได้ แต่เมื่อไปติดต่อกับกรมที่ดินกลับได้รับคำตอบว่ายังไม่สามารถออกโฉนดหรือแม้แต่เอกสาร นส.3 ได้ เพราะบริเวณที่ตั้งชุมชนยังมีข้อพิพาทกับเมืองพัทยาอยู่ คนในชุมชนจึงอยู่ด้วยความกังวลเพราะไม่รู้จะถูกเวนคืนพื้นที่เมื่อใด จึงอยากให้เร่งแก้ไขปัญหานี้เพราะชุมชนอยู่มาก่อนเกิดเมืองพัทยาเสียด้วยซ้ำไป
สุจินต์ หนองใหญ่ ประธานชุมชนวัดบุณย์กัญจนาราม เปิดเผยว่า เมืองพัทยามีการแต่งตั้งคณะกรรมการจุดผ่อนผันพื้นที่สาธารณะ ซึ่งเท่าที่ทราบคือมีความเป็นห่วงผู้ค้าที่ไม่มีพื้นที่ขายของ เช่น กลุ่มรถพ่วงข้าง ทำให้มีแนวคิดเปิดให้ผู้ค้ามาขึ้นทะเบียน เพื่อที่จะได้สามารถค้าขายได้แบบไม่ต้องหลบซ่อน และเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจภาคการท่องเที่ยวให้กับเมืองด้วย โดยเบื้องต้นจะให้โอกาสกับคนที่ทำมาหากินในพื้นที่อยู่แล้วก่อน ผู้ขึ้นทะเบียนจะได้เอกสารรับรองสำหรับติดยานพาหนะ และบัตรประจำตัวที่ระบุพื้นที่ขาย อาทิ หาดจอมเทียน หาดพัทยา นาเกลือ ฯลฯ
“มันมีนายทุนที่มาทำมาหากินในเมืองพัทยา แล้วก็เอาพวกต่างชาติเข้ามาขายพวกพ่วงข้างในลักษณะนี้ ก็เหมือนมาแย่งการทำมาหากินของคนเมืองพัทยาเรา ก็อยากจะแจ้งให้พ่อค้าแม่ค้าที่มีพ่วงข้างขายของ รถเข็นอะไรพวกนี้ กำลังจะจัดระเบียบอยู่ ตลาดพัทยาใต้รอสักนิด เดี๋ยวท่านจะขายของโดยที่ไม่ต้องมีใครไปรบกวนท่าน จะมีป้ายแขวนคอแล้วก็จำกัดเขต” สุจินต์ ระบุ
ในช่วงท้ายยังได้รับเกียรติจาก นพ.ประทีป ธนกิจเจริญ เลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ กล่าวปาฐกถาหัวข้อ “นวัตกรรมการมีส่วนร่วมสู่นโยบายสาธารณะขับเคลื่อนเมือง” ระบุว่า พัทยาเป็นเมืองที่อยู่กึ่งกลางระหว่างกรุงเทพฯ ที่มีประชากรอาศัยมากกว่า 10 ล้านคน มีกิจกรรมทางเศรษฐกิจมาก กับเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก เช่น EEC ที่มีทั้งชลบุรี-ระยอง-ฉะเชิงเทรา ซึ่งหากเป็นไปตามแผนพัฒนาจะทำให้เป็นพื้นที่ที่มีคนทำมาหากินจำนวนมาก แต่คนจากเมืองเหล่านี้ต้องการมาพักผ่อนที่พัทยา รวมถึงในอนาคตจะเข้ามาเพื่อดูแลสุขภาพด้วย
ทั้งนี้ การเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็วของพัทยา ด้านหนึ่งส่งผลให้คนจำนวนมากได้ประโยชน์ แต่อีกด้านหนึ่งก็มีคนอีกส่วนที่ได้รับผลกระทบ คำถามคือจะทำอย่างไรที่ทุกภาคส่วนจะได้ประโยชน์จากความเปลี่ยนแปลง เช่น ในขณะที่ผู้ประกอบการหรือชุมชนในพื้นที่ต้องการการเติบโต แต่ผลกระทบที่ตามมาคือการจราจรติดขัดช่วงวันหยุด เป็นต้น ดังนั้นจึงต้องชวนทุกฝ่ายมาร่วมกำหนดอนาคตของพัทยาร่วมกัน
โดยเฉพาะการจะยกระดับเมืองพัทยาจากเมืองท่องเที่ยวที่รองรับคนกรุงเทพฯ คนใน EEC และคนทั่วโลก สู่การเป็นเมืองท่องเที่ยวที่เป็นมิตรต่อสุขภาพ ต้องการทั้งกระบวนการทางวิชาการและการมีส่วนร่วม ซึ่งในอดีตเรื่องสุขภาพส่วนราชการสามารถวางนโยบายและดำเนินการได้เองเพราะไม่ซับซ้อนอย่างในปัจจุบัน จึงต้องการร่วมคิดหาคำตอบ สร้างฉันทามติ และรับผิดชอบในการขับเคลื่อนมติ ซึ่งต้องใช้เวลาในการเรียนรู้ และการจัดเวทีสมัชชาสุขภาพสากลเมืองพัทยา ครั้งที่ 1 หรือครั้งแรก ก็จะเป็นก้าวสำคัญสู่ครั้งต่อๆ ไป
“ตอนนี้เรื่องสุขภาพไม่ใช่เป็นเรื่องความเจ็บป่วยอย่างเดียว และตอนที่เราเจอการระบาดโควิด 3 ปีที่ผ่านมา เราเห็นชัดเจนว่าเรื่องสุขภาพไม่ใช่สุขภาพล้วนๆ แต่มันเกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจ สังคม การเมือง แถมเป็นการเมืองระหว่างประเทศด้วยไม่ใช่การเมืองเฉพาะประเทศ ดังนั้นสุขภาพเป็นทั้งเป้าหมายการแก้ไขเพื่อทำให้คนและสังคมมีสุขภาพที่ดี ขณะเดียวกันเป็นเครื่องมือทางด้านเศรษฐกิจ เป็นเครื่องมือสร้างความมั่นคงทางสังคม เป็นเครื่องมือเจรจาระหว่างประเทศได้ด้วย” นพ.ประทีป กล่าว
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี