2568 ปีมะเส็ง แม้จะเป็นงูเล็ก แต่ได้สร้างความสั่นสะเทือนครั้งใหญ่ทั้งประเทศไทยเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่เมียนมาทำให้ตึกสตง.ถล่มราบเป็นขนมชั้นได้ทำลายความเชื่อมั่นต่อหน่วยงานที่มีหน้าที่ตรวจสอบคนอื่นและประเทศไทยอย่างยับเยิน ซ้ำเติมด้วยผู้นำสหรัฐฯประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากทั่วโลก ไทยเราก็โดนผลกระทบไปเต็มๆ สร้างความปั่นป่วนทางเศรษฐกิจตั้งแต่มหาเศรษฐียันชาวบ้านร้านตลาด
ปัญหาความตกต่ำทางเศรษฐกิจของโลกจากความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ของประเทศมหาอำนาจสงครามต่างๆ ที่ยืดเยื้อทำให้ธุรกิจต้องมีการปรับกลยุทธ์เพื่อความอยู่รอด รัฐบาลแต่ละประเทศพยายามออกนโยบาย แก้กฎหมายเพื่อเปิดช่องหารายได้เข้ารัฐเพราะการจัดเก็บรายได้ไม่เป็นไปตามเป้าหมาย ปรากฏการณ์ที่พรรครัฐบาลภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตรและพรรคฝ่ายค้านอย่างพรรคประชาชนต่างเห็นร่วมกันในการแก้พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกฮอล์ พ.ศ.2551 เพื่อคลายความเข้มข้นของข้อห้ามในการขายและดื่มแอลกอฮอล์แม้จะอ้างว่าพื่อลดการผูกขาดของรายใหญ่ส่งเสริมรายกลางและรายเล็กมากขึ้นแต่ปลายทางก็คือการแอลกอฮอล์และส่งเสริมให้เด็ก เยาวชน ผู้หญิงและคนที่ดื่มอยู่แล้วดื่มมากขึ้นและไม่มีหลักประกันว่ามาตรการหรือบทลงโทษที่เข้มข้นจะได้ผลหรือไม่เพราะประเทศไทยมีอันดับบังคับใช้กฎหมายต่ำเตี้ยเรี่ยดินในมุมมองต่างประเทศ
เช่นเดียวกับการพยายามในการสร้างรายได้เข้าประเทศด้วยการเร่งรัดเสนอกฎหมายการประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจรที่มีกาสิโนอยู่ด้วย 10% แต่สังคมไม่เชื่อมั่นและฟันธงไปล่วงหน้าแล้วว่าเป้าจริงคือ กาสิโนถูกกฎหมาย ส่งผลให้เกิดกระแสการคัดค้านจากทุกวงการอย่างกว้างขวางทำให้รัฐบาลเข้าเกียร์ถอยเลื่อนการพิจารณาเรื่องนี้ออกไปก่อนทั้งๆ ที่ก่อนหน้านั้นได้ลงมติเลื่อนระเบียบวาระมาพิจารณาอย่างเร่งด่วน แต่ไม่ได้หมายความว่าจะถอนวาระออกไปเป็นการถอยไปตั้งหลักเพื่อหาเสียงสนับสนุนและสร้างความเข้าใจกับผู้สนับสนุนรัฐบาลแล้วค่อยกลับมาใหม่
บทบาทของประชาชนและภาคประชาสังคมจึงมีความสำคัญไม่น้อยทั้งการเสนอร่างกฎหมายฉบับประชาชนเข้าไปประกบ การแสดงท่าทีคัดค้านก่อนที่กฎหมายจะเข้าสภาฯเพื่อแสดงจุดยืนและชี้ให้เห็นว่าผลกระทบที่ตามมาต่อประเทศชาติและประชาชนจะเสียหายรุนแรงขนาดไหน
ที่โรงแรมรอยัลริเวอร์ เขตบางพลัด กรุงเทพมหานครเมื่อวันก่อน มูลนิธิสื่อเพื่อสุขภาวะ (มสส.), เครือข่ายสื่อมวลชนขับเคลื่อนสุขภาวะเพื่อสังคมไทยยั่งยืน (สสสย.) จัดประชุมเสวนา เรื่อง “สรุปบทเรียนและก้าวต่อไปของกฎหมายควบคุมแอลกอฮอล์และกาสิโน” โดย วิเชษฐ์ พิชัยรัตน์ บอร์ด สสส. ด้านการสื่อสารมวลชน ให้มุมมองก่อนการเสวนา ว่า ช่วงนี้ถือเป็นหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญ การแก้ไขกฎหมายแอลกอฮอล์และการเร่งรัดเสนอกฎหมายสถานบันเทิงครบวงจรมีจะผลกระทบต่อสุขภาพและสังคม ส่งผลต่อความชุกในการดื่มของประชาชน รวมทั้งจะสร้างปัญหาทางสังคมมากขึ้นจากการพนัน แม้ในที่สุดกฎหมายควบคุมแอลกอฮอล์จะผ่านสภาแต่ต้องไปทำกฎหมายลูกอีกหลายฉบับถึงตรงนั้นจะต้องไปหาทางคุมเข้มกันอีก เช่นเดียวกับเรื่องกาสิโนแม้จะมีเสียงค้านแต่ฝ่ายการเมืองประกาศชัดว่าจะเดินหน้าต่อก็ต้องวัดพลังกันว่าฝ่ายหนุนและฝ่ายต้านถึงที่สุดแล้วใครจะอยู่ใครจะไป
ด้าน ชูวิทย์ จันทรส ผู้ประสานงานเครือข่ายรณรงค์ป้องกันภัยแอลกอฮอล์ 1 ในกรรมาธิการวิสามัญที่ร่วมพิจารณาร่างแก้ไขพระราชบัญญัติ ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ.2551 ที่มาจากฉบับประชาชน ยอมรับว่ามีทั้งไม่ดีและดี เช่น ที่ไม่ดีคือการให้ผู้แทนผู้ผลิต นำเข้า ขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์หนึ่งคนเป็นกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แต่ก็กันเอาไว้ว่าถ้ามีวาระพิจารณาที่มีส่วนได้เสียก็ต้องออกจากที่ประชุม หรือการให้ขายผ่านเครื่องอัตโนมัติได้แต่ต้องตรวจอายุผู้ซื้อ กำหนดเวลาและสถานที่ในการขาย การโฆษณาโดยหลักการบุคคลทั่วไปสามารถแสดงผลิตภัณฑ์ได้หากไม่ใช่เพื่อการค้า เช่น ให้ข้อมูลข่าวสาร ไม่ใช่จะโฆษณาอะไรก็ได้
ผู้ประสานงานเครือข่ายรณรงค์ป้องกันภัยแอลกอฮอล์ บอกว่าส่วนที่ดีก็มีเช่น การเพิ่มผู้แทนสภาเด็กและเยาวชนในคณะกรรมการควบคุมแอลกอฮอล์จังหวัดและกทม. การห้ามขายให้เด็กอายุต่ำกว่า 20 ปี และคนเมา ต้องมีการตรวจบัตร ตรวจอาการคนเมาและเพิ่มความรับผิดของผู้ขายหากรู้ว่าเป็นเด็กหรือคนเมาแล้วยังขายให้จนไปสร้างความเสียหายต่อชีวิตร่างกายทรัพย์สินผู้อื่นผู้ขายต้องรับผิดทางแพ่งด้วยโดยเพิ่มโทษปรับที่หนักขึ้นจาก 20,000 เป็น 100,000 บาท ส่วนเรื่องตราเสมือน เช่น น้ำดื่ม โซดา มีการห้ามการโฆษณาที่ทำให้เข้าใจหรือสื่อไปถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ รวมทั้งเพิ่มอำนาจตักเตือนให้พนักงานเจ้าหน้าที่ในความผิดครั้งแรกที่ไม่ร้ายแรง มีการปรับเป็นพินัยกรณีความผิดเล็กน้อย รวมถึงการเพิ่มอำนาจให้ปิดสถานที่ระงับการเผยแพร่สื่อโฆษณา พักใช้หรือเพิกถอนใบอนุญาตขายหากพบความผิดตามกฎหมายนี้ และย้ำว่า 1 ปีหลังกฎหมายบังคับใช้จะต้องไปจัดทำกฎหมายระดับรองอีกจำนวน 38 ฉบับ
ส่วน ธนากร คมกฤส เลขาธิการมูลนิธิรณรงค์หยุดพนัน (มรพ.) มองว่าบทเรียนที่เกิดขึ้นจากการคัดค้านร่าง พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจรที่มีกาสิโนรวมอยู่ด้วยนั้นสรุปได้ว่ามีคนค้านอยู่ 8 กลุ่มเครือข่ายภาคประชาสังคม 100 องค์กรที่นำโดยมูลนิธิรณรงค์หยุดพนันและมีมูลนิธิสื่อเพื่อสุขภาวะร่วมด้วยก็เป็นส่วนหนึ่งของผู้ที่แสดงความกังวลเรื่องผลกระทบต่อสังคม สะท้อนให้เห็นว่าพลังเงียบนั้นมีอยู่จริงและจะแสดงพลังเมื่อถึงเวลาอันสมควร โดยเฉพาะกลุ่มแพทย์และบุคลากรสาธารณสุขที่มีบทบาทในสังคม องค์กรด้านการศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม เครือข่ายแรงงาน กลุ่มด้านนิติบัญญัติ อดีตสมาชิกวุฒิสภา 189 คน อดีตสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) 102 คน ชมรมสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) 2550 ที่น่าสนใจคือวุฒิสภาจำนวนมากเริ่มมีท่าทีคัดค้านมากขึ้น
เลขาธิการมรพ.กล่าวต่อว่าแม้รัฐบาลจะประกาศถอยชั่วคราวก็ไม่ได้หมายความว่าเรื่องนี้จะไม่กลับมาใหม่ ดังนั้น ในช่วงเวลานี้ก่อนเปิดสภาสมัยสามัญเดือนกรกฎาคมก็ต้องเดินหน้าสามัคคีกับกลุ่มที่คัดค้าน การหาแรงสนับสนุนจากคนรุ่นใหม่ให้มาร่วมขบวนมากขึ้น การให้ข้อมูลอย่างทั่วถึงกับประชาชนในต่างจังหวัด การล่ารายชื่อผู้มีสิทธิเลือกตั้งเพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีให้ทำประชามติตอนนี้มีแล้ว 55,00 กว่ารายชื่อ รวมทั้งการเตรียมพร้อมดำเนินการทางกฎหมายกับผู้ที่เกี่ยวข้องในการผลักดันเรื่องนี้
วงเสวนาวันนั้นชี้ว่าเนื้อในของกฎหมายกาสิโนมีจุดอ่อนและข้อบกพร่องอย่างไร การวาดฝันรายได้จนละเลยหรือไม่สนใจผลกระทบที่เกิดขึ้นรังแต่จะทำให้เกิดความเสียหาย การมีข้อมูลรอบด้านรับฟังความเห็นจากทุกฝ่าย และการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้เสียในทุกกระบวนการเท่านั้นจึงจะได้รับการยอมรับและได้รับการสนับสนุนในที่สุด
บทสรุปสุดท้ายคือฟังคนอื่นเยอะๆ ไม่มีใครได้และเสียมากจนเกินไปถึงจะอยู่ร่วมกันได้
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี