นักศึกษาสาวช่วยอาจารย์ทำงานวิจัย ถูกสารเคมีเข้าตาจนตาบอด ผ่านไป 3 ปี อาจารย์และมหาวิทยาลัยไม่ให้การช่วยเหลือ วอนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าไกล่เกลี่ยให้มหาวิทยาลัยรับผิดชอบ
วันที่ 11 ม.ค.66 ผู้สื่อข่าวเดินทางไปที่บ้านหลังหนึ่งใน อ.ขุนหาญ จ.ศรีสะเกษ หลังจากได้รับแจ้งว่า มีนักศึกษาหญิงของมหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่งใน จ.อุบลราชธานี ถูกสารเคมีเข้าตาขณะช่วยอาจารย์ทำงานวิจัย เป็นเหตุให้ดวงตาบอด 1 ข้าง กลายเป็นคนพิการ ไม่ได้รับการช่วยเหลือจากมหาวิทยาลัย ส่วนอาจารย์หัวหน้าโครงการวิจัยได้ช่วยเหลือค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล และค่าใช้จ่ายอื่นๆ ได้หยุดให้การช่วยเหลือทำให้ได้รับความเดือดร้อน ไปถึงได้พบกับนางดอกไม้ อายุ 43 ปี และ น.ส.เอ (นามสมมติ) อายุ 24 ปี นักศึกษาที่ประสบอุบัติเหตุจนตาบอด
น.ส.เอ เล่าว่า ปี 2562 ตนเรียนอยู่ปี 3 มหาวิทยาลัยในจังหวัดอุบลราชธานี ทุกวันศุกร์ตนจะกลับบ้านที่ อ.ขุนหาญ วันที่ 30 ส.ค.62 เป็นวันศุกร์ ตนกลับมาถึงบ้านแล้ว มีเพื่อนที่เรียนด้วยกันโทรศัพท์มาบอกว่าอาจารย์ให้ตนไปช่วยงานวิจัยในวันเสาร์ ที่ 31 ส.ค.62 ซึ่งอาจารย์ท่านนี้เป็นที่ปรึกษางานวิจัยของตนให้ไปช่วยงานส่วนตัวของอาจารย์โดยบอกให้เอางานวิจัยของตนไปทำด้วย ทั้งที่อาจารย์เคยบอกตนให้ไปช่วยงานหลายครั้งแล้วแต่ตนไม่ไป ตนเลี่ยงมาตลอด เพราะงานกิจกรรมของตนก็มีเยอะ มาวันนี้จึงยอมไป
น.ส.เอ เล่าอีกว่า วันนั้นช่วยอาจารย์ทำงานโครงการวิจัยเรื่อง “การพัฒนากระบวนการผลิตน้ำมันรำข้าวขาวดอกมะลิ 105 อินทรีย์พร้อมบริโภคที่มีอายุการเก็บรักษานาน” เป็นการทำเกี่ยวกับสารเคมีโดยวิธีการตวงผสม สารนั้นคือกรดอะซิตริกผสมคลอโรฟอร์มอัตราส่วน 3:2 ทำตั้งแต่ 09.00 น.จนกระทั่งถึงเวลา 17.00 น.ได้เกิดอุบัติเหตุสารเคมีดังกล่าวกระเด็นถูกบริเวณหัวไหล่ข้างซ้าย ใบหน้า และเข้าตาข้างซ้าย อาจารย์และคณะวิจัยได้ทำการปฐมพยาบาลเบื้องต้นก่อนส่งไปรักษาที่โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์พร้อมกับแจ้งให้ผู้ปกครองทราบ ก่อนที่จะส่งต่อไปที่โรงพยาบาลอุบลรักษ์ธนบุรีในเวลา 19.30 น.เนื่องจากมีแพทย์เฉพาะทางประจำการอยู่ ส่วนค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลและค่าใช้จ่ายอื่นๆ อาจารย์หัวหน้าโครงการวิจัยจะรับผิดชอบจนกว่าจะหายเป็นปกติ
"เนื่องจากตาซ้ายของมองไม่เห็น จึงได้ไปตรวจกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่โรงพยาบาลรามาธิบดี แพทย์แจ้งว่าเนื้อเยื่อถูกทำลายร้อยละ 70 แพทย์ได้ให้การรักษาด้วยการหยอดซีรัมจากเลือดผู้ป่วยเป็นเวลา 2 เดือน สายตายังมองไม่เห็น แพทย์วางแผนที่จะปลูกถ่ายเนื้อเยื่อในขั้นตอนต่อไป ซึ่งการปลูกถ่ายเนื้อเยื่อจะมีค่าใช้จ่ายสูง" น.ส.เอ กล่าว
นางดอกไม้ แม่ของนักศึกษาสาวผู้เคราะห์ร้าย กล่าวว่า หลังจากที่เกิดเหตุกับน้องแล้วทางอาจารย์หัวหน้าโครงการวิจัยก็ได้ให้ความช่วยเหลือมาเรื่อยๆ โดยโอนเงินเข้าบัญชีน้องเป็นค่าใช้จ่ายในการไปรักษา ค่าใช้จ่ายในการเดินทาง และค่าใช้จ่ายอื่นๆ รวมที่อาจารย์ช่วยมาแล้วประมาณ 400,000 บาท จนกระทั่งเมื่อเดือนกันยายน 2565 อาจารย์โอนมาให้ 3,765 บาท หลังจากนั้นก็เงียบหายไปเลยไม่โอนมาอีก ตาน้องยังไม่หาย ยังต้องไปพบแพทย์ ไปตรวจตามนัด บางเดือนนัด 2-3 ครั้งก็มี ค่าใช้จ่ายไม่น้อย
แม่ของนักศึกษาสาวผู้เคราะห์ร้าย กล่าวต่อว่า ตนกับพ่อของน้องก็ต้องการไปนั่งคุยกับอาจารย์ต่อหน้า ให้รู้ว่าจะเอาอย่างไรต่อไป เพราะเงินก็ไม่ส่งมาช่วย ตาของน้องถึงขั้นบอดแล้ว เป็นคนพิการแล้ว เคยไปยื่นคำร้องขอทำใบอนุญาตขับขี่ก็ไม่ได้เพราะเป็นคนพิการ เมื่อเร็วๆ นี้ ได้มีโทรศัพท์เป็นเสียงผู้หญิงอ้างว่าเป็นน้องสาวของอาจารย์หัวหน้าโครงการ พูดกับแม่ว่า อาจารย์บอกว่าทางอาจารย์กับผู้ร่วมวิจัยได้ช่วยเหลือค่าใช้จ่ายมามากแล้ว ขอหยุดการช่วยเหลือไว้แค่นี้ ให้ต่างฝ่ายต่างช่วยดูแลกันเอง ทำได้อย่างไร ตอนแรกอาจารย์ได้รับรองเป็นหนังสือมาแล้ว บอกว่าจะช่วยเหลือจนกว่าจะหาย ตาของลูกแม่ไม่ได้เป็นมาแต่กำเนิด ลูกแม่เกิดมาครบ 32 ประการ ทุกอย่างดีหมด ตาของลูกเสียเพราะไปช่วยงานอาจารย์ ไม่ใช่เพราะไปเรียนหรือทำงานของลูก อาจารย์จะไม่ช่วยเหลือเหรอ คงจะไม่ถูกต้อง
"ฉันและครอบครัวไม่ได้ร่ำรวย ไม่มีเงินมากที่จะใช้จ่ายในการรักษาลูก ฉันไม่ต้องการที่จะฟ้องร้องขึ้นโรงขึ้นศาล อยากคุยกันดีๆ จึงอยากขอวอนให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้ามาช่วยดูแล ไกล่เกลี่ยเรื่องของครอบครัวตนให้ได้รับการช่วยเหลือเยียวยา ให้ตาลูกหายด้วย" นางดอกไม้ กล่าว - 003