วันเสาร์ ที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2568
“เกาหลีใต้” ประเทศที่โดดเด่นทั้งอุตสาหกรรมไม่ว่ายานยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ สื่อบันเทิง“เค-ป๊อป (K-Pop)” รวมไปถึง “การศึกษา” ที่ผลคะแนนการทดสอบวัดความรู้ระหว่างประเทศอย่าง PISA เกาะกลุ่มหัวแถวของโลกของทวีปเอเชีย อาทิ การทดสอบในปี 2561 มี 77 ประเทศ และเขตปกครองเข้าร่วม เกาหลีใต้อยู่ได้อันดับที่ 7 เป็นรองเพียงจีนแผ่นดินใหญ่ (ทดสอบใน 4 พื้นที่คือกรุงปักกิ่ง เมืองเซี่ยงไฮ้ มณฑลเจียงซูและมณฑลเจ้อเจียง) สิงคโปร์ มาเก๊า ฮ่องกง เอสโตเนีย และญี่ปุ่นตามลำดับ ส่วนปีนั้นไทยอยู่อันดับที่ 60
เมื่อเร็วๆ นี้ สถาบันเอเชียตะวันออกศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) ร่วมกับ โครงการประเมินและพัฒนาสู่ความเป็นเลิศทางคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ (TEDET) จัดบรรยายหัวข้อ “สร้างนิสัยเรียนเก่งตามแบบฉบับเกาหลี” โดยวิทยากรคือ ดร.ไพบูลย์ ปีตะเสน ประธานศูนย์เกาหลีศึกษา สถาบันเอเชียตะวันออกศึกษา มธ. ซึ่งเคยมีประสบการณ์เรียนต่อระดับปริญญาเอกที่มหาวิทยาลัยแห่งชาติ กรุงโซล สถาบันอุดมศึกษาอันดับ 1 ของเกาหลีใต้ เริ่มต้นด้วยการกล่าวถึง “Reborn Rich” ซีรี่ส์ดังจากแดนกิมจิ ที่มีมหาวิทยาลัยแห่งนี้เป็นฉากหลังส่วนหนึ่งด้วย
“เขาฉายภาพของมหาวิทยาลัยโซล และฉายให้เห็นถึงการเรียนให้มีผลดี การเข้าไปแข่งขันในวงการธุรกิจ มันคือเรื่องเดียวกัน การที่เราเรียนได้ประสบความสำเร็จมันก็เป็นบันไดก้าวแรกที่จะให้เราไปใช้ชีวิตในสังคมได้อย่างประสบความสำเร็จเหมือนกัน อันนี้มาในภาพมหาวิทยาลัยโซลในยุค 90 (ปี 2533-2542) ในฉากในหนัง” ดร.ไพบูลย์กล่าว
ดร.ไพบูลย์ เล่าต่อไปว่า เมื่อครั้งได้ทุนจากประเทศไทยไปเรียนที่เกาหลีใต้ในช่วงทศวรรษ 1990 ได้พบนักเรียนท้องถิ่นชั้น ม.6 คนหนึ่ง เลือกที่จะไม่เรียนต่อมหาวิทยาลัยในทันทีหลังเรียนจบ เพราะตั้งใจจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยแห่งชาติ กรุงโซล ให้ได้ ซึ่งในปีแรกหลังจบ ม.6 เขาสอบไม่ผ่าน จึงใช้เวลาอ่านหนังสืออีก 1 ปีก่อนกลับมาสอบแต่ครั้งนี้สอบผ่านได้เข้าไปเรียน โดยไม่สนใจที่นั่งในมหาวิทยาลัยอื่นๆ ที่เขาสอบได้แล้วแต่อย่างใด
ความน่าสนใจคือพฤติกรรมแปลกๆ ของเด็กคนนี้“เมื่ออ่านหนังสือจบก็จะฉีกทำลายหนังสือทิ้ง” ซึ่งหลังจากสังเกตอยู่หลายวันจึงตัดสินใจเข้าไปสอบถาม และได้รับคำตอบว่า “ถ้าอยากไปข้างหน้าอย่างไม่ลังเลก็ต้องไม่เหลือเส้นทางให้กลับหลัง” การอ่านหนังสือแล้วทำลายทิ้งก็เพื่อกระตุ้นให้ต้องจำสาระสำคัญของบทเรียนให้ได้ ไม่เพียงเท่านั้น เขายังเดินทางไป-กลับระหว่างที่พักกับมหาวิทยาลัยเป็นประจำ ราวกับว่าได้เข้าไปเรียนแล้ว เพื่อปลุกเร้าตนเองว่าจะต้องเข้าไปเรียนให้ได้ด้วย
อีกเหตุการณ์หนึ่งคือเมื่อ ดร.ไพบูลย์ ได้เพื่อนร่วมห้องในหอพักเป็นลูกครึ่งเกาหลีใต้-ญี่ปุ่น ในเวลานั้นก็คุยกันว่าจะเลือกห้องไหนระหว่างชั้น 5 กับชั้น 2 ซึ่ง เพื่อนคนนี้ขอให้เลือกชั้น 2 แม้จะเป็นห้องแคบๆ เมื่อเทียบกับชั้น 5 ที่ห้องกว้างกว่า โดยให้เหตุผล 3 ข้อ คือ 1.สะดวกในการเดินทาง หากอยู่ชั้น 5 ต้องใช้ลิฟต์ในการขึ้น-ลง แต่อยู่ชั้น 2 เดินลงบันไดเองได้ ทำให้ในตอนเช้าเมื่อต้องขึ้นรถไปเรียนซึ่งรถก็มีที่นั่งจำกัดจะทำได้ง่ายกว่า
2.หลีกเลี่ยงการถูกรบกวน เนื่องจากเพื่อนคนนี้ทราบว่าคณะที่ตนเรียนสอบช้าที่สุด และนักศึกษาทุกคณะเมื่อสอบเสร็จก็มักจะมีปาร์ตี้สังสรรค์ ดังนั้นการเลือกห้องเล็กๆ
ก็น่าจะทำให้เพื่อนจากคณะอื่นๆ ไม่มาขอใช้ห้องเป็นพื้นที่สังสรรค์ 3.ไม่ทำให้เกิดความรู้สึกอยากอยู่ในห้องนานๆ วิถีชีวิตของนักศึกษาในเกาหลีใต้นิยมไปอ่านหนังสือในห้องสมุด โดยห้องในหอพักมีไว้เพียงเป็นที่ซุกหัวนอนเท่านั้น โดยห้องสมุดในมหาวิทยาลัยนั้นเปิด 24 ชั่วโมง และในทุกเช้าจะตื่นกันตั้งแต่ตี 4 เพื่อรีบกินมื้อเช้าแล้วเข้าไปหาพื้นที่อ่านหนังสือ
“คนเกาหลีจะชอบอ่านหนังสือในห้องสมุด ไม่เหมือนกับคนไทยที่ชอบอ่านที่บ้าน คืออ่านที่บ้านมันเงียบจริงแต่ข้อเสียคือเราอาจจะขาดวินัยได้ เราอาจจะทำโน่นทำนี่
จนเพลินแล้วเวลาอ่านมันไม่มีบรรยากาศเหมือนกับคนที่นั่งอ่านแข่งขันกับเราอยู่ มีคนอีกเป็นร้อยที่อยู่ด้านข้างเรา ห้องสมุดเกาหลีก็เงียบเหมือนกัน เขา (เพื่อนร่วมห้องที่หอพัก) ก็เลยบอกถ้าอยู่ห้องสบายเกินไปจะทำโน่นทำนี่วอกแวก เขาแถมให้อีกเหตุผลหนึ่งคือถ้าห้องใหญ่จะซื้อของเข้ามาเยอะแล้วเปลืองเงินมาก
ตลอดเวลาที่เขาเรียนกับผมมาทั้ง ป.โท-ป.เอก เขาใช้แก้วแค่ใบเดียวเอง ถ้าเขาใช้ห้องใหญ่เขาก็จะต้องมีแก้วกาแฟ แก้วน้ำ เยอะแยะมากมาย แก้วนมแก้วอะไร สะสมเจอแก้วสวยๆ ก็ต้องซื้อเพราะเขามีพื้นที่จัดเก็บ แต่ถ้าห้องมันเล็กเขาจำเป็นจะต้องใส่ของได้น้อย เสื้อผ้าเขาก็มีเท่าที่เขาต้องการ แก้วน้ำ ปากกา ดินสอ เวลาจะซื้อแต่ละอย่างที่จะบรรจุเข้าไปเขาก็ต้องคิด ผมก็เลยเห็นดีด้วยกับเขาในเมื่อเขาให้เหตุผลมาแล้วว่าเราควรจะอยู่ห้องเล็ก จบไวแล้วก็ประหยัดเงินด้วย” ดร.ไพบูลย์ ระบุ
ข้อคิดที่ ดร.ไพบูลย์ ได้เพื่อนร่วมห้องในหอพักคนนี้คือ “การสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียน” ซึ่งในวันที่เรียนจบเพื่อนคนนี้มีเงินเหลือเก็บออมมากกว่านักศึกษาคนอื่นๆ ในกลุ่ม แต่ก็อาจเป็นเพราะยุคนั้นยังไม่มีโทรศัพท์มือถือ จึงไม่มีใครมารบกวนมากนัก จึงฝากเพิ่มเติมถึงคนยุคปัจจุบันด้วยว่า “ขอให้มีเป้าหมายแน่ชัดว่าตนเองต้องการทำอะไร และสร้างเงื่อนไขให้เดินไปตามเส้นทางนั้น” อย่าให้วอกแวก
เมื่อเทียบรายได้ต่อหัวระหว่างคนไทยกับคนเกาหลีใต้ทั้ง 2 ชาติเคยอยู่ระดับเดียวกันจนกระทั่งถึงปี 2518 จากนั้นเกาหลีใต้ก็ค่อยๆ ทิ้งห่างไทยขึ้นไปเรื่อยๆ โดยการสำรวจครั้งล่าสุดในปี 2563 พบว่า เกาหลีใต้อยู่ที่ 32,780 เหรียญสหรัฐต่อปี ส่วนไทยอยู่ที่ 7,260 เหรียญสหรัฐต่อปี หรือโดยสรุปคือ ในปี 2563คนเกาหลีใต้มีรายได้มากกว่าคนไทยถึงเกือบ 5 เท่า และการศึกษาก็คือหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ทำให้เศรษฐกิจเกาหลีใต้เติบโตอย่างก้าวกระโดด
โดยเกาหลีใต้วางนโยบายหลักด้านการศึกษาไว้ 4 เรื่อง 1.จัดหาการศึกษาคุณภาพสูงให้แก่ประชาชน 2.ขยายโอกาสตามความฝันและความสามารถของนักเรียน 3.สนับสนุนการศึกษาในกลุ่มผู้ด้อยโอกาสทางสังคม และ 4.จัดให้มีการศึกษาในภาคปฏิบัติ โดยการให้น้ำหนักที่ความเท่าเทียมกันและวางอยู่บนค่านิยมที่เป็นสากล ซึ่งอาจเป็นเพราะยุคก่อนปี 2518 (ที่คนเกาหลีใต้ยังมีรายได้ต่อหัวไล่เลี่ยกับคนไทย) เป็นช่วงที่เกาหลีใต้ต้องฟื้นฟูประเทศหลังสงครามเกาหลี (ปี 2493-2496) เวลานั้น
จึงยังไม่มีโอกาสได้ให้ความสำคัญกับการศึกษามากนัก
แต่เมื่อโอกาสอำนวย รัฐบาลเกาหลีใต้จึงทุ่มเทกับการพัฒนาด้านการศึกษาอย่างมาก โดยมีสัดส่วนงบประมาณรายจ่ายด้านนี้สูงเป็นอันดับ 3 ของโลก อยู่ที่ร้อยละ 14 ของงบประมาณทั้งหมดต่อปี เช่นเดียวกับในฝั่งครัวเรือนที่พ่อแม่ผู้ปกครองในเกาหลีใต้ ลงทุนด้านการศึกษาให้บุตรหลานมากที่สุดในโลก คิดเป็นร้อยละ 0.8 ของรายได้ทั้งหมดที่มีต่อปี ซึ่งสูงยิ่งกว่าหลายประเทศในทวีปยุโรปไม่ว่าจะเป็นสวิตเซอร์แลนด์ เยอรมนีหรือเนเธอร์แลนด์เสียด้วยซ้ำ
ตัวอย่างผลสำเร็จของเกาหลีใต้ เกิดขึ้นในการสอบ PISA เมื่อปี 2552 โดยการสอบ PISA จะจัดสอบทุกๆ 3 ปี วัดผลใน 3 ด้าน คือคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์และการอ่าน คะแนนด้านการอ่านและคณิตศาสตร์ของเกาหลีใต้อยู่ที่เกือบ 550 คะแนน มากที่สุดในโลก และมากกว่าฟินแลนด์หรือแม้แต่สหรัฐอเมริกา ส่วนด้านวิทยาศาสตร์แพ้เพียงฟินแลนด์กับญี่ปุ่นเท่านั้น ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่าฟินแลนด์คือประเทศที่มีระบบการศึกษาดีที่สุดในโลก
ทั้งหมดที่กล่าวมานี้เป็นเพียง “โหมโรง” ฉายภาพการให้ความสำคัญของการศึกษาตั้งแต่ระดับปัจเจกบุคคลไปจนถึงครัวเรือนและภาครัฐ ซึ่งผู้สนใจเคล็ดลับการเรียนเก่งแบบคนเกาหลี สามารถเข้าไปรับชม-รับฟัง ได้ที่เพจ “TEDET” หรือที่ลิงก์ https://www.facebook.com/tedet.or.th/videos/652560313327745
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี