เกษตรกรชาวตำบลละหานทราย อำเภอละหานทราย จังหวัดบุรีรัมย์ พลิกผืนดิน จากการปลูกพืชเชิงเดี่ยวเป็น ป่าไผ่และไม้ยืนต้น พร้อมบริหารจัดการอย่างเป็นระบบ สร้างรายได้ตลอดทั้งปี โดยไม่ต้องเสียเงินต้นทุน
สวนไผ่ที่เขียวขจี และร่มรื่นแห่งนี้ ตั้งอยู่บนเนื้อที่กว่า 75 ไร่ ในพื้นที่ ตำบลละหานทราย อำเภอละหานทราย จังหวัดบุรีรัมย์ ซึ่งเป็นสวนไผ่ของ นายกฤชพิพัฒน์ ล้อจรรยาวาณิช อายุ 65 ปี ที่ได้ริเริ่มหันมาทำการทดลองปลูกสวนไผ่ สลับควบคู่ ไปกับ การปลูกไม้ยืนต้น นานาพันธุ์ มาตั้งแต่ปี 2531
หลังจากที่ นายกฤชพิพัฒน์ ได้เรียนจบจากคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง และได้มาช่วยครอบครัวทำการเกษตร โดยการปลูกพืชล้มลุก ซึ่งเป็นพืชหมุนเวียนเชิงเดี่ยว มีทั้ง ข้าว มันสำปะหลัง อ้อย และปอ โดยทำอยู่ได้ประมาณ 4 ปี นายกฤชพิพัฒน์ เริ่มมองเห็นถึงปัญหา ของการปลูกล้มลุกดังกล่าว ที่จำเป็นจะต้องมีการลงทุนสูง และต้องลงทุนตลอดทั้งปี ทั้งการลงทุนปลูกใหม่ ค่าแรงงาน ราคาน้ำมันสูงขึ้น ปุ๋ยที่มีราคาสูงขึ้น และราคาผลผลิตไม่แน่นอน รวมถึงสภาพภูมิอากาศ ที่ส่งผลกระทบถึงคุณภาพของผลผลิตด้วย
นายกฤชพิพัฒน์ จึงมองหาวิธีแก้ปัญหา โดยจะไม่ปลูกพืชล้มลุก แต่มองหาพืชที่ไม่ต้องปลูกใหม่ แต่ให้ผลทุกปี ใคร่ครวญดีแล้ว จึงตัดสินใจ “ปลูกไผ่เลี้ยง” เพราะมองว่าเป็นพืชที่ปลูกง่าย ให้หน่อทุกปี ไม่ต้องปลูกใหม่ ประโยชน์ใช้สอยมากมาย เติบโตได้ดี ตัดลำที่แก่ เว้นลำอ่อนไม้เลี้ยงกอ จึงได้เริ่มทำการปลูกอย่างจริงจังมาตั้งแต่ปี 2536 เป็นต้นมา
แต่เมื่อเริ่มปลูก ก็ประสบปัญหา ไผ่ที่ปลูกบางกอ ได้ออกดอกแล้วตาย และอีกสาเหตุหนึ่งเกิดจากการปลูกมันสำปะหลัง แซมในร่องสวนไผ่ เพราะมันสำปะหลัง ไปแย่งแร่ธาตุในดินไปหมด เลยทำให้ไผ่ตาย นายกฤชพิพัฒน์ จึงทำการศึกษาค้นคว้าข้อมูลพบว่า ไผ่มีอายุขัย เมื่ออายุครบจะออกดอก ผลิตเม็ด เพื่อดำรงพันธุ์ต่อ เหมือนหญ้าและข้าว จึงรอไม่ปลูกเพิ่ม
ต่อมา สถานีเพาะชำกล้าไม้ตาจง อำเภอละหานทราย จังหวัดบุรีรัมย์ ได้เพาะเบี้ยไผ่แล้วแจกจ่ายให้กับเกษตรกร โครงการส่งเสริมปลูกไม้เศรษฐกิจ ปี พ.ศ.2537 ของกรมป่าไม้ นายกฤชพิพัฒน์ จึงได้ไปรับต้นพันธุ์ไผ่ เพื่อนำมาปลูกใหม่ และได้ทำการขยายพันธุ์ ขยายพื้นที่การปลูก รวมถึงศึกษาค้นคว้าทำอย่างจริงจัง จนพบว่าไผ่ เป็นไม้ที่ปลูกง่าย ไม่มีโรคแมลง และสามารถสร้างรายได้จากไผ่ได้ด้วย รวมถึงสวนไผ่แห่งนี้ ไม่ได้มีการใช้ยาฆ่าแมลง หรือยาปราบศัตรูพืชแต่อย่างใด แต่จะใช้เพียงน้ำส้มควันไม้ ที่ได้จากการเผาถ่านเท่านั้น และปล่อยให้เป็นไปตามกลไกของระบบนิเวศน์ตามธรรมชาติ
โดย นายกฤชพิพัฒน์ ยังได้พยายามคิดหาวิธี ที่ทำให้ไม้ไผ่นั้น มีมูลค่าสูงขึ้น โดยการนำไผ่มาแช่น้ำยาป้องกันมอด ที่นายกฤชพิพัฒน์ ได้คิดค้นขึ้นมาเอง กลับพบว่าไผ่ที่ผ่านการแช่น้ำยาป้องกันมอด นั้นมีความแข็งแรง ทนทาน และปลอดภัยจากมอด หรือแมงลงที่จะมาเจาะ หรือกัดกินไผ่ ทำให้ไม้ไผ่จากสวนของนายกฤชพิพัฒน์ เมื่อนำไปแปรรูป ทำเป็นเฟอร์นิเจอร์ เครื่องเรือน และเครื่องใช้งานต่างๆ มีความแข็งแรง ทนทานกว่าไม้ไผ่ทั่วไปที่ไม่ผ่านการแช่น้ำยาป้องกันมอด
นอกจากนี้ ยังสร้างรายได้โดยการ ตัดไม้ไผ่ขายเป็นลำ ทั้งตัดขายเป็นไม้พลอง ไม้ง่าม สำหรับลูกเสือ-เนตรนารี ,ทำไม้เท้า ,ไม้ถูพื้น ,ด้ามไม้กวาด ,ไม้ค้ำกล้วย ,ไม้ค้างผัก ,สร้างโรงเห็ด ส่วนเศษไผ่ใช้เผาเป็นถ่านชีวภาพใบโอชาร์ ,ใบไผ่ใช้คลุมดิน ,รากไผ่ใช้ทำดินขุยไผ่ขาย
การปลูกสวนป่าไผ่ ทำให้มีรายได้ ทั้งทางตรงและทางอ้อม ซึ่งที่เห็นได้ชัดเจน จะเป็นมูลค่าที่เกิดขึ้น โดยประดิษฐกรรมต่างๆ มากมาย ซึ่งก่อให้เกิดรายได้มหาศาล และเรื่องของไม้ฟืนและถ่าน สามารถเพิ่มมูลค่าจากถ่านจากไม้ไผ่ ที่ให้พลังงานสูง
ปัจจุบันสวนไผ่ของนายกฤชพิพัฒน์ ได้พัฒนามาเป็นสวนป่า สำหรับเป็นแหล่งเรียนรู้ และสถานที่ศึกษาดูงาน เกี่ยวกับการปลูกไผ่ไปแล้ว โดยมีทั้ง กลุ่มเกษตรกร ภาคประชาชน ภาคเอกชน สนใจเดินทางมาศึกษาดูงานกันอย่างไม่ขาดสาย รวมถึงจากหน่วยงานภาครัฐ อาทิ เจ้าหน้าที่กรมป่าไม้ สำนักวิจัย และพัฒนาการป่าไม้ ที่ได้เดินทางมาศึกษาดูงาน เพื่อเก็บข้อมูลเกษตรกรผู้ปลูกไผ่ ด้านแหล่งวัตถุดิบ การผลิต การตลาด ตลอดจนปัจจัยที่มีผลต่อการผลิต ราคา เพื่อนำไปใช้เป็นข้อมูลมูลในการวิเคราะห์ต้นทุน และผลตอบแทนจากผลิตภัณฑ์ไผ่เพื่อเศรษฐกิจ และชุมชน ซึ่งที่นี่ นอกจากจะปลูกไผ่แล้ว ยังได้มีการแปรรูปไม้ไผ่ การทำประดิษฐ์กรรมจากไม้ไผ่ การเผาถ่านจากไม้ไผ่ ที่เป็นผลิตภัณฑ์จากไผ่ด้วย
โดย นายกฤชพิพัฒน์ มองว่า ถ้าไม้ไผ่ มีองค์กรสนับสนุน ให้เกษตรกรปลูกอย่างเป็นระบบ ก็จะสามารถทำคุณภาพชีวิตของเกษตรกรดีขึ้นอย่างมีนัยยะ เพราะถ้าไผ่เป็นไม้เศรษฐกิจ ก็จะมีเกษตรกรปลูกเพิ่มขึ้น พื้นที่การปลูกพืชล้มลุก ก็จะน้อยลง เมื่อพืชล้มลุกมีผลผลิตน้อยลง ราคาก็จะดีขึ้น ซึ่งเป็นการช่วยภาคเกษตรในทางอ้อม รวมทั้งเป็นการฟื้นฟูระบบนิเวศน์ ทำให้มีป่าพื้นที่สีเขียวเพิ่มขึ้น ดีต่อสิ่งแวดล้อม และช่วยลดโลกร้อนอีกทางหนึ่งด้วย
ตลอดระยะเวลากว่า 30 ปี ที่นายกฤชพัฒน์ ลงทุนลงแรง กับการทำสวนป่าไผ่ และต้นไม้ชนิดต่างๆ จึงไม่มีแม้สักวัน ที่นายกฤชพิพัฒน์ จะเอาใจออกห่างจากสวนป่าไผ่แห่งนี้ เพราะต้องการแสดงให้เห็นถึง คุณค่าของไม้ไผ่ ที่มีคุณค่าอย่างมากมาย.-008
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี