กางข้อกฎหมาย"บุหรี่ไฟฟ้า" ชัดเจน"นำเข้า-ขาย"ผิดแน่... แต่"ครอบครอง"ยังคลุมเครือรอชี้ขาด
ช่วงนี้ประเด็น “บุหรี่ไฟฟ้า” กลับมาได้รับความสนใจอีกครั้ง หลังเกิดกรณี “ส่วยนักท่องเที่ยว” เมื่อดาราสาวชาวไต้หวันที่เดินทางมาเที่ยวประเทศไทยถูก “ตำรวจนอกแถว” เรียกรับผลประโยชน์เป็นเงิน 27,000 บาท เหตุเกิดในท้องที่ สน.ห้วยขวาง กรุงเทพฯ รวมถึงยังมีข่าวทำนองเดียวกันที่เมืองพัทยา จ.ชลบุรี ว่าเจ้าหน้าที่ไปเรียกรับผลประโยชน์เป็นเงิน 60,000 บาท จากนักท่องเที่ยวชาวจีน โดยหนึ่งในคำถามที่สังคมสงสัยคือ “การครอบครองบุหรี่ไฟฟ้าผิดกฎหมายหรือไม่? อย่างไร?” เพราะ ณ ปัจจุบัน ยังพบการนำบุหรี่ไฟฟ้ามาสูบแบบเปิดเผยทั่วไปในสังคม
ทั้งนี้ “บุหรี่ไฟฟ้าเป็นสิ่งของต้องห้ามนำเข้ามาในประเทศ” โดยมี ประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้บารากู่และบารากู่ไฟฟ้า หรือบุหรี่ไฟฟ้าเป็นสินค้าที่ต้องห้ามในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร พ.ศ. 2557 ลงวันที่ 12 ธ.ค. 2557 ซึ่งประกาศนี้ออกตาม มาตรา 5 วรรคหนึ่ง (1) และมาตรา 25 แห่ง พ.ร.บ.การส่งออกไปนอกและการนําเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งสินค้า พ.ศ. 2522
โดยผู้ฝ่าฝืนนั้น ตาม พ.ร.บ.การส่งออกไปนอกและการนําเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งสินค้า พ.ศ. 2522 มาตรา 20 วรรคหนึ่ง ระบุว่า ผู้ใดส่งออกหรือนำเข้าซึ่งสินค้าต้องห้ามตามมาตรา 5 (1) หรือฝ่าฝืนมาตรา 7 วรรคหนึ่ง ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสิบปีหรือปรับเป็นเงินห้าเท่าของสินค้าที่ส่งออกหรือนำเข้า หรือทั้งจำทั้งปรับ กับให้ริบสินค้ารวมทั้งสิ่งที่ใช้บรรจุและพาหนะใดๆ ที่ใช้ในการบรรทุกสินค้าซึ่งเกี่ยวเนื่องกับความผิดรวมทั้งพาหนะที่ใช้ลากจูงพาหนะบรรทุกสินค้านั้นเสีย
เช่นเดียวกัน “บุหรี่ไฟฟ้าเป็นสินค้าห้ามขาย” โดยมี คำสั่งคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคที่ 9/2558 เรื่อง ห้ามขายหรือห้ามให้บริการสินค้า “บารากู่ บารากู่ไฟฟ้าหรือบุหรี่ไฟฟ้า หรือตัวยาบารากู่ น้ำยาสำหรับเติมบารากู่ไฟฟ้าหรือบุหรี่ไฟฟ้า” ลงวันที่ 28 ม.ค. 2558 ซึ่งประกาศนี้ออกตาม มาตรา 36 แห่ง พ.ร.บ.คุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. 2522 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดย พ.ร.บ.คุ้มครองผู้บริโภค (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2556 และมาตรา 38 แห่ง พ.ร.บ.คุ้มครองผู้บริโภค (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2556
โดยผู้ฝ่าฝืนนั้น มาตรา 36 วรรคหนึ่ง ระบุว่า เมื่อมีเหตุอันควรสงสัยว่าสินค้าใดอาจเป็นอันตรายแก่ผู้บริโภค คณะกรรมการมีอํานาจออกคําสั่งให้ผู้ประกอบธุรกิจดําเนินการทดสอบหรือพิสูจน์สินค้านั้น ถ้าผู้ประกอบธุรกิจไม่ดําเนินการทดสอบหรือพิสูจน์สินค้าหรือดําเนินการล่าช้าโดยไม่มีเหตุผลอันสมควร คณะกรรมการจะจัดให้มีการทดสอบหรือพิสูจน์โดยผู้ประกอบธุรกิจเป็นผู้เสียค่าใช้จ่ายก็ได้ในกรณีจําเป็นและเร่งด่วน คณะกรรมการอาจออกคําสั่งห้ามขายสินค้านั้นเป็นการชั่วคราวจนกว่าจะทราบผลการทดสอบหรือพิสูจน์สินค้านั้น
วรรคสอง ระบุว่า ในกรณีที่ผลการทดสอบหรือพิสูจน์ปรากฏว่าสินค้านั้นอาจเป็นอันตรายแก่ผู้บริโภค และไม่อาจป้องกันอันตรายที่จะเกิดจากสินค้านั้นได้โดยการกําหนดฉลากตามมาตรา 30 หรือตาม กฎหมายอื่น ให้คณะกรรมการมีอํานาจออกคําสั่งอย่างหนึ่งอย่างใดดังต่อไปนี้ (1) ห้ามผู้ประกอบธุรกิจขายสินค้านั้น (2) ให้ผู้ประกอบธุรกิจจัดเก็บสินค้าที่ยังไม่ได้จําหน่ายแก่ผู้บริโภคกลับคืน หรือเรียกคืนสินค้าจากผู้บริโภค
(3) ให้ผู้ประกอบธุรกิจแก้ไข เปลี่ยนแปลง หรือปรับปรุงสินค้านั้นไม่ให้เป็นอันตรายแก่ผู้บริโภค หรือเปลี่ยนสินค้าหรือชดใช้ราคาสินค้าให้แก่ผู้บริโภค (4) ให้ผู้ประกอบธุรกิจซึ่งเป็นผู้สั่งหรือนําเข้ามาในราชอาณาจักรจัดส่งสินค้านั้นกลับคืนออกนอกราชอาณาจักร (5) ให้ผู้ประกอบธุรกิจทําลายสินค้านั้น (6) ให้ผู้ประกอบธุรกิจปิดประกาศ แจ้ง หรือโฆษณาข่าวสารเกี่ยวกับอันตรายของสินค้านั้นให้ผู้บริโภคทราบ หรือเกี่ยวกับการดําเนินการตาม (1) (2) (3) (4) หรือ (5)
ส่วนมาตรา 38 วรรคหนึ่ง ระบุว่า เมื่อมีเหตุอันควรสงสัยว่าบริการใดอาจเป็นอันตรายแก่ผู้บริโภค คณะกรรมการมีอํานาจออกคําสั่งให้ผู้ประกอบธุรกิจดําเนินการทดสอบหรือพิสูจน์บริการนั้น ถ้าผู้ประกอบธุรกิจไม่ดําเนินการทดสอบหรือพิสูจน์บริการหรือดําเนินการล่าช้าโดยไม่มีเหตุผลอันสมควร คณะกรรมการจะจัดให้มีการทดสอบหรือพิสูจน์โดยผู้ประกอบธุรกิจเป็นผู้เสียค่าใช้จ่ายก็ได้ในกรณีจําเป็นและเร่งด่วน คณะกรรมการอาจออกคําสั่งห้ามให้บริการนั้นเป็นการชั่วคราวจนกว่าจะทราบผลการทดสอบหรือพิสูจน์บริการนั้น
วรรคสอง ระบุว่า ในกรณีที่ผลการทดสอบหรือพิสูจน์ปรากฏว่าบริการใดอาจเป็นอันตรายแก่ผู้บริโภค ให้คณะกรรมการมีอํานาจออกคําสั่งอย่างหนึ่งอย่างใดดังต่อไปนี้ (1) ให้ผู้ประกอบธุรกิจปิดประกาศ แจ้ง หรือโฆษณาข่าวสารเกี่ยวกับอันตรายของการบริการนั้นให้ผู้บริโภคทราบ หรือเกี่ยวกับการดําเนินการตาม (2) หรือ (3) (2) ให้ผู้ประกอบธุรกิจแก้ไข เปลี่ยนแปลง หรือปรับปรุงวิธีการให้บริการไม่ให้เป็นอันตรายแก่ผู้บริโภค หรือชดใช้ค่าบริการให้แก่ผู้บริโภค (3) ห้ามผู้ประกอบธุรกิจให้บริการนั้น
โดยผู้ฝ่าฝืนนั้น มาตรา 56 วรรคหนึ่ง ระบุว่า ผู้ประกอบธุรกิจผู้ใดฝ่าฝืนคําสั่งของคณะกรรมการซึ่งสั่งห้ามขายสินค้าเป็นการชั่วคราว ตามมาตรา 36 วรรคหนึ่ง หรือฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามคําสั่งของคณะกรรมการตามมาตรา 36 วรรคสอง ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินห้าแสนบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ ขณะที่ มาตรา 56/1 วรรคหนึ่ง ระบุว่า ผู้ประกอบธุรกิจผู้ใดฝ่าฝืนคําสั่งของคณะกรรมการซึ่งสั่งห้ามให้บริการเป็นการชั่วคราว ตามมาตรา 38 วรรคหนึ่ง หรือฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามคําสั่งของคณะกรรมการตามมาตรา 38 วรรคสอง ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินห้าแสนบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ
ส่วนประเด็น “การครอบครอง” นั้นต้องบอกว่า “ยังเป็นข้อถกเถียง” โดยมีกฎหมายที่เกี่ยวข้องคือ พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ. 2560 ซึ่งใน มาตรา 242 วรรคหนึ่ง ระบุว่า ผู้ใดนําเข้ามาในหรือส่งออกไปนอกราชอาณาจักรซึ่งของที่ยังมิได้ผ่านพิธีการศุลกากร หรือเคลื่อนย้ายของออกไปจากยานพาหนะ คลังสินค้าทัณฑ์บน โรงพักสินค้า ที่มั่นคง ท่าเรือรับอนุญาต หรือเขตปลอดอากร โดยไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานศุลกากร ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกินสิบปี หรือปรับเป็นเงินสี่เท่าของราคาของซึ่งได้รวมค่าอากรเข้าด้วยแล้ว หรือทั้งจําทั้งปรับ และให้ริบของนั้นไม่ว่าจะมีผู้ถูกลงโทษตามคําพิพากษาหรือไม่
มาตรา 246 วรรคหนึ่ง ระบุว่า ผู้ใดช่วยซ่อนเร้น ช่วยจําหน่าย ช่วยพาเอาไปเสีย ซื้อ รับจํานําหรือรับไว้โดยประการใดซึ่งของอันตนพึงรู้ว่าเป็นของอันเนื่องด้วยความผิดตามมาตรา 242 ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับเป็นเงินสี่เท่าของราคาของซึ่งได้รวมค่าอากรเข้าด้วยแล้วหรือทั้งจําทั้งปรับ
อย่างไรก็ตาม มีความเห็นแย้ง นพ.เอกภพ เพียรพิเศษ ที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการการสาธารณสุข สภาผู้แทนราษฎร และอดีต ส.ส.เชียงราย ที่ยืนยันมาตลอดว่า “ไม่สามารถใช้ พ.ร.บ.ศุลกากร จับกุมผู้ครอบครองบุหรี่ไฟฟ้าได้” โดยล่าสุดเมื่อวันที่ 27 ม.ค. 2566 ได้โพสต์ข้อความไว้ที่เพจเฟซบุ๊ก “หมอเอก Ekkapob Pianpises” ระบุว่า “ครอบครองบุหรี่ไฟฟ้าจับไม่ได้ !!!!! ถึงจะจับแล้วปรับก็ไม่ใช่อำนาจของตำรวจ ต้องยอมความแล้วให้ศุลกากรปรับ !!!!! ถ้าจะสู้คดีก็ต้องไปสู้ในชั้นศาล !!!!
สรุปให้ชัดๆ อีกครั้ง - บุหรี่ไฟฟ้าเป็น "ของต้องห้าม" ห้ามนำเข้า ห้ามนำผ่าน ห้ามส่งออกตามประกาศกระทรวงพาณิชย์ - บุหรี่ไฟฟ้า ห้ามขาย ตามประกาศสำนักงานคุ้มครองผู้บริโภค ที่ผ่านมาเคยจับผู้ครอบครองบุหรี่ไฟฟ้าได้ เพราะใช้กฏหมายมาตรา 27ทวิ ของ พรบ.ศุลกากร (ฉบับเก่า) ที่ปัจจุบันยกเลิกไปแล้ว ใน พรบ.ศุลกากร พ.ศ.2560 มาตรา 242, 246, 247 ที่กล่าวถึงความผิดของผู้ลักลอบนำสินค้าเข้ามาโดยไม่ผ่านศุลกากร แต่.... ไม่ได้ระบุถึง "ของต้องห้าม" ไว้ในมาตราดังกล่าว
ดังนั้น ผู้ครอบครองบุหรี่ไฟฟ้าจะถูกจับกุมดำเนินคดีด้วยความผิดตาม พรบ.ศุลกากร ไม่ได้ เพราะไม่ได้เป็นคนลักลอบนำเข้า ถ้าจะจับก็ต้องจับกุมถ้ามีหลักฐานว่าเป็นผู้ขาย ซึ่งเป็นหน้าที่ของตำรวจชุดจับกุมที่ต้องมีหลักฐานว่าคนที่จับนั้นเป็นผู้ขาย ไม่ใช่ว่าจับๆ ไปแล้วให้ผู้ต้องหาไปแก้ต่างเอาเอง แบบนี้ถือว่า เป็นการจับกุมโดยมิชอบ ข่าวการจับนักท่องเที่ยว แม้กระทั่งคนไทยแล้วไปรีดไถเขานั้นต้องเอาผิดให้ถึงที่สุด ถึงเวลาที่เราต้องมาทบทวนมาตรการควบคุมบุหรี่ไฟฟ้าได้แล้วครับว่าการ "แบนทิพย์" นั้นส่งผลเสียหายต่อประเทศขนาดไหน”
ซึ่งกฎหมายเก่าที่ นพ.เอกภพ กล่าวถึงนั้นคือ พ.ร.บ.ศุลกากร พระพุทธศักราช 2469 (พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ.2469) ระบุใน มาตรา 27 (ทวิ) ว่า ผู้ใดช่วยซ่อนเร้น ช่วยจําหน่าย ช่วยพาเอาไปเสีย ซื้อ รับจํานํา หรือรับไว้โดยประการใดซึ่งของอันตนรู้ว่าเป็นของที่ยังมิได้เสียค่าภาษีหรือของต้องจํากัด หรือของต้องห้าม หรือที่เข้ามาในราชอาณาจักรโดยยังมิได้ผ่านศุลกากรโดยถูกต้องก็ดีหรือเป็นของที่นําเข้ามา ในราชอาณาจักรโดยหลีกเลี่ยงอากร ข้อจํากัดหรือข้อห้ามอันเกี่ยวแก่ของนั้นก็ดีมีความผิดต้องระวางโทษจําคุกไม่เกินห้าปีหรือปรับเป็นเงินสี่เท่าราคาของซึ่งได้รวมค่าอากรเข้าด้วยแล้ว หรือทั้งจําทั้งปรับ
อย่างไรก็ตาม ใน พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ. 2560 ที่ออกมาบังคับใช้แทน พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ.2469 ระบุใน มาตรา 247 ว่า ผู้ใดนําหรือยอมให้ผู้อื่นนําของต้องห้าม ของต้องกํากัด หรือของที่ยังมิได้ผ่านพิธีการศุลกากร ขึ้นบรรทุกหรือออกจากยานพาหนะ ต้องระวางโทษตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 242 หรือมาตรา 244 แล้วแต่กรณี แต่มาตรานี้ก็เป็นการเอาผิดผู้ใช้ยานพาหนะเคลื่อนย้ายสิ่งของต้องห้ามเป็นหลัก
แม้กระทั่ง “คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1411/2564” คดีว่าด้วยจำเลยครองครองเตาบารากู่ซึ่งเป็นสิ่งของต้องห้ามเช่นเดียวกับบุหรี่ไฟฟ้านั้น ศาลฎีกาก็ยังตัดสินแก้คำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ ว่า “อนึ่ง ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นซึ่งพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2560 มาตรา 242 , 246 นั้น ไม่ถูกต้องเพราะพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2560 มาตรา 246 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 242 อันเป็นกฎหมายที่ใช้ภายหลังกระทำความผิดไม่เป็นคุณแก่จำเลย
จึงต้องปรับบทลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติศุลกากร พุทธศักราช 2469 มาตรา 27 ทวิ อันเป็นกฎหมายที่ใช้ในขณะกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 2 วรรคหนึ่ง จะปรับบทลงโทษตามกฎหมายที่ใช้ภายหลังกระทำผิดไม่ได้ ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้คู่ความจะมิได้ฎีกาศาลฎีกาก็มีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบด้วยมาตรา 225 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติศุลกากรพุทธศักราช 2469 มาตรา 27 ทวิ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์”
โดยสรุปแล้วก็ยังคงไม่มีความชัดเจนว่าการครอบครองบุหรี่ไฟฟ้าผิดกฎหมายหรือไม่? ดังนั้นเวลานี้ก็น่าจะ “ตีเหล็กตอนร้อน” มีหน่วยงานที่เชื่อถือได้ออกมา “ชี้ขาด” เมื่อให้ทั้งสังคมเข้าใจตรงกัน!!!
ข่าวที่เกี่ยวข้อง :
- โฆษก ตร.นำทีมสอบปากคำ'หนุ่มสิงคโปร์' พยานคดีดาราสาวไต้หวัน
- 'ดาบตำรวจ'พัทยายันไม่ได้รีดไถเงินบุหรี่ไฟฟ้า 6 หมื่นบาท จากกลุ่มทัวร์จีน
โพสต์ของ นพ.เอกภพ เพียรพิเศษ : https://www.facebook.com/photo/?fbid=642189847908935&set=a.361788195949103
อ้างอิง : https://www.smartdeka.com/deka/deka_judgement1411_2564
- 006
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี