“เมื่อวันที่ 7 ต.ค. 2562 ผู้แทนไทยคือท่านเอกอัครราชทูตถาวรประจำสหประชาชาติ ณ นครเจนีวา สวิตเซอร์แลนด์ ได้ไปพูดถึง เรียกว่าให้คำมั่น ซึ่งเป็นเจตนารมณ์ของรัฐบาลไทย ที่จะแก้ไขปัญหาคนไร้รัฐไร้สัญชาติ มีอยู่ 7 ข้อ ข้อที่สำคัญข้อหนึ่งบอกว่าจะปรับกลไกกฎหมายระเบียบต่างๆ เพื่อให้กลุ่มที่ยังเข้าไม่ถึงสิทธิ์ในสัญชาติได้เข้าถึงสิทธิ์นั้น แล้วก็มีเรื่องของการคุ้มครองทางสังคมให้กับคนที่ยังอยู่ในกระบวนการที่เสนอพิจารณาขอมีสัญชาติไทย รวมทั้งจะแก้ไขปัญหาผู้สูงอายุไร้รัฐไร้สัญชาติ แต่คำมั่นเหล่านั้นขณะนี้ยังเป็นลมอยู่ ยังว่างเปล่า ยังไม่ได้เกิดการขับเคลื่อนให้เป็นยุทธศาสตร์ระดับชาติ”
เตือนใจ ดีเทศน์ อดีตกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ กล่าวในงานประชุมวิชาการและแลกเปลี่ยนเรียนรู้ “เสียงที่คนอื่นไม่ได้ยิน: ประชากรกลุ่มเฉพาะ ครั้งที่ 2” ในส่วนห้องย่อย “ชาติพันธุ์กับสิทธิทางวัฒนธรรมและความเป็นพลเมือง” หัวข้อ“พื้นที่คุ้มครองวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์: วิถีการพัฒนาอย่างยั่งยืนกับการส่งเสริมสุขภาวะกลุ่มชาติพันธุ์” เมื่อช่วงปลายเดือน ก.พ. 2566 ที่ผ่านมา ณ ศูนย์ประชุมอิมแพ็ค ฟอรั่ม เมืองทองธานี จ.นนทบุรี
ซึ่งก็ต้องบอกว่า การแก้ปัญหา “คนไร้รัฐ-ไร้สัญชาติ” ไม่ใช่เรื่องง่าย แม้จะมีความพยายามมาอย่างต่อเนื่อง ดังที่ เตือนใจ ยกตัวอย่างกรณี“ผู้สูงอายุไร้รัฐ” ที่หากเป็นกลุ่มซึ่งเกิดในประเทศไทย การแก้ปัญหาก็ยังทำได้ไม่ยากนัก เช่น เคยมีกรณีกรมการปกครอง จัดทำเอกสารทะเบียนราษฎรผิดพลาด ระบุว่าชาวเขาเผ่าลีซอใน จ.เชียงราย ไม่ได้เกิดในประเทศไทย แต่ต่อมาก็มีการแก้ไขหลังพบหลักฐานเพิ่มเติม คือการสำรวจที่เกิดขึ้นก่อนหน้านั้นโดย กรมประชาสงเคราะห์ ระบุว่า คนเหล่านี้เกิดในประเทศไทย
หรืออีกวิธีหนึ่งคือพิสูจน์ด้วยการทำประชาคมหมู่บ้าน โดยได้รับความร่วมมือจาก 4 ฝ่ายทำงานบูรณาการร่วมกัน ประกอบด้วย กรมการปกครอง กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) และปลัดอำเภอในฐานะหัวหน้าฝ่ายทะเบียนของพื้นที่ แต่หากเป็นกลุ่มที่ไม่ได้เกิดในประเทศไทย แต่อยู่ในประเทศไทยมานานไม่ต่ำกว่า 40 ปี การได้มาซึ่งสัญชาติไทยจะค่อนข้างยุ่งยากกว่า
โดยการได้สัญชาติไทยของกลุ่มหลังนี้ต้องเข้าสู่กระบวนการแปลงสัญชาติ ซึ่งต้องเผชิญกับความยากลำบากโดยเฉพาะเงื่อนไขบางข้อ อาทิ 1.ต้องมีรายได้ไม่ต่ำกว่า 2 หมื่นบาท/เดือน ซึ่งส่วนใหญ่ไม่มีรายได้ระดับดังกล่าว 2.ต้องถูกตรวจสอบประวัติและความประพฤติจาก 5 หน่วยงาน ทั้งเรื่องยาเสพติด คดีอาญา และประเด็นความมั่นคงของรัฐ และ 3.ทักษะการใช้ภาษาไทย หมายถึงภาษาไทยกลาง ซึ่งก็เป็นเรื่องยากสำหรับผู้สูงอายุเหล่านี้เช่นกัน
จากเงื่อนไขข้างต้น มีการรวบรวมสถิติไว้ว่า การแปลงสัญชาติอย่างเร็วที่สุดของผู้สูงอายุไร้รัฐ ต้องใช้เวลาถึง 730 วัน หรือ 2 ปีเต็ม แต่ที่ยิ่งกว่านั้นคือหลายคนยื่นเรื่องไปแล้ว 10 ปีก็ยังไม่คืบหน้า อย่างไรก็ตาม กระทรวงมหาดไทยในยุคที่มี พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวง และมี ฉัตรชัย พรหมเลิศ เป็นปลัดกระทรวง ได้พยายามแก้ไขปัญหาโดยตัดเงื่อนไขที่ยุ่งยากข้างต้นออกไป โดยออกเป็นหนังสือเวียน ลงวันที่ 19 ก.พ. 2563 ก็ทำให้กระบวนการที่ล่าช้ารวดเร็วขึ้นมาได้
“เด็กไร้รัฐ” เป็นอีกกลุ่มที่รอการแก้ไขปัญหา โดย อรกัญญา สุขรัตน์ สมาคมสร้างเสริมเด็ก เยาวชนและครอบครัว กล่าวว่า กลุ่มที่มีปัญหาคือเด็กที่ติดตามพ่อแม่ข้ามมาจากประเทศเพื่อนบ้าน ไม่ได้เกิดในประเทศไทยและการเดินทางเข้ามาก็มักไม่มีเอกสารยืนยันตัวตน ส่งผลกระทบต่อการเข้าถึงสิทธิต่างๆ อย่างไรก็ตาม ด้วยความที่ประเทศไทยมีนโยบายให้เด็กทุกคนไม่ว่าจะมีหรือไม่มีสัญชาติ เข้าถึงการศึกษาอย่างเท่าเทียมกัน การศึกษาจึงเป็นช่องทางที่ทำให้เด็กไร้รัฐเข้าถึงสิทธิอื่นๆ อาทิ ด้านสุขภาพ เพราะจะมีการทำประวัติและออกเลขประจำตัวให้
ถึงกระนั้น ยังมีเด็กไร้รัฐบางส่วนที่ไม่เข้าไม่ถึงสิทธิ เช่น เด็กพิการ ซึ่งรัฐไทยจะมองไม่เห็นเพราะไม่มีการทำประวัติ-ออกเลขประจำตัว เนื่องจากเข้าไม่ถึงระบบการศึกษาประกอบกับพ่อแม่เองก็ไม่มีสถานะบุคคลในทางทะเบียน ทำให้เมื่อเด็กกลุ่มนี้หรือแม้แต่คนในครอบครัวเจ็บป่วยก็ไม่กล้าไปโรงพยาบาล แต่เด็กไร้รัฐกลุ่มข้างต้น การแก้ไขปัญหาในทางกฎหมายก็ยังง่ายกว่าเด็กที่เป็นผู้ติดตามของพ่อแม่ที่เป็นแรงงานข้ามชาติ
“ที่เราเจอจะเป็นลูกหลานที่เป็นกลุ่มผู้ติดตามแรงงาน ที่เจอปัญหาอยู่ตอนนี้คือเขาไม่สามารถบันทึกชื่อเข้าสู่ระบบการทะเบียนราษฎรได้ อันนี้ก็ถือว่าเป็นเด็กส่วนใหญ่ที่เราเจอ เหมือนที่ อ.แม่สรวย จ.เชียงราย เด็ก 1,161 คน เป็นกลุ่ม
ลูกหลานผู้ติดตามแรงงาน 900 กว่าคน ถามว่าทั้ง 900 กว่าคนนี้เขาจะต้องใช้ชีวิตต่อไปอย่างไรในเมื่ออายุครบ 18 ปี เขาจะต้องกลายเป็นผู้ติดตามแรงงาน ในขณะเดียวกันเขาใช้ชีวิตเป็นเด็กในรั้วมหาวิทยาลัย หรือยังเป็นเด็กมัธยมตอนปลายอยู่”
อรกัญญา กล่าว
จากคนไร้รัฐสู่ “กลุ่มชาติพันธุ์” ประชากรอีกส่วนที่ต้องต่อสู้เพื่อให้รัฐคุ้มครองสิทธิในวิถีชีวิต จากการกระทบกระทั่งทั้งระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์กับรัฐ อาทิ ชุมชนชาวกะเหรี่ยงบางกลอยถูกบังคับให้อพยพโยกย้ายออกจากป่าเมื่อรัฐดำเนินนโยบายจัดทำพื้นที่อนุรักษ์อย่างอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน หรือกลุ่มชาติพันธุ์กับธุรกิจเอกชน ดังที่ ไมตรี จงไกรจักร์ มูลนิธิชุมชนไทย ยกตัวอย่างกรณีผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวบนเกาะหลีเป๊ะ จ.สตูล และอีกหลายจังหวัดท่องเที่ยวทางภาคใต้ของไทย สร้างรั้วปิดกั้นทางสัญจรของกลุ่มชาวเล โดยอ้างกรรมสิทธิ์ที่ดิน
“ราชการเขาจะเรียกชาวไทยใหม่ วิธีคิดก็คือพวกมาใหม่เพิ่งมาบุกรุกยึดพื้นที่อยู่ มีหลักคิดแบบนี้ เขาเลยติดป้ายหน้า
หมู่บ้านว่าชุมชนชาวไทยใหม่ ราชการปักป้ายแบบนี้เพื่อจะบอกว่าเพิ่งมาใหม่อย่ามีอะไรมากนะ แต่พอเราไปเที่ยวเกาะลันตา (จ.กระบี่) ที่กลางเกาะเขียนว่าเกาะลันตาเป็นเมืองหลวงของชาวอูรักลาโว้ยมาแล้วกว่า 500 ปี ตกลงใหม่หรือเก่า?” ไมตรี ยกตัวอย่าง
ด้าน ศักดา แสนมี่ เลขาธิการสภาชนเผ่าพื้นเมืองแห่งประเทศไทย กล่าวถึงความพยายามผลักดันกฎหมาย เช่น (ร่าง) พ.ร.บ.สภาชนเผ่าพื้นเมืองแห่งประเทศไทย, (ร่าง) พ.ร.บ.คุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ ซึ่งล่าสุดคงต้องรอความหวังจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) ชุดหลังจากการเลือกตั้งที่กำลังจะเกิดขึ้นในเร็วๆ นี้ เนื่องจากสภาผู้แทนราษฎรชุดปัจจุบันกำลังจะหมดวาระและไม่น่าพิจารณา 2 ร่างกฎหมายดังกล่าวที่ค้างอยู่ในสภาได้ทัน
“เราเห็นว่าถ้าเราเสนอเป็นกฎหมาย หนึ่งก็คือการยอมรับการมีตัวตนอย่างเป็นรูปธรรมทางการมากขึ้น สองก็คือเรามาเน้นกลไกการแก้ปัญหาของเราเอง เราจะทำหน้าที่ในการร่วมแก้ปัญหากับรัฐ ในขณะเดียวกันถ้ากฎหมายนี้ผ่านเป็น
กฎหมายจริงๆ ก็จะทำให้รัฐได้มีโอกาสเร่งที่จะมาหนุน 2 เรื่องตามหลักการที่เรามีอยู่ คือคุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตของชนเผ่าพื้นเมืองในประเทศไทย” ศักดา กล่าว
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี