หมายเหตุ : บทความนี้เขียนโดยอาจารย์ อดีตอาจารย์ และผู้ช่วยนักวิจัย “สถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจ ศศินทร์ แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย” ประกอบด้วย ผศ.ดร.ปิยะชาติ ภิรมย์สวัสดิ์, ผศ.ดร.ภัทเรก ศรโชติ, ศ.ดร.เกื้อ วงศ์บุญสิน, รศ.ดร.พัฒนาพร และ น.ส.ณัฐพร ลภิธนานุวัฒน์ ในชื่อเดิมคือ “ควอนตัม (Quantum) เทคโนโลยี: นวัตกรรมดีๆ ที่ตามองไม่เห็น” ก่อนได้รับการปรับปรุงให้เหมาะสมกับพื้นที่ในฉบับหนังสือพิมพ์!!!
ในปัจจุบันนี้หากพูดถึงคำว่า“ควอนตัม (Quantum)” หลายคนน่าที่จะคุ้นเคยกับคำว่า “ควอนตัมคอมพิวเตอร์” ซึ่งหมายถึงการใช้เทคโนโลยีควอนตัม (ที่อาศัยคุณสมบัติพิเศษของการทำงานกับสิ่งของเล็กๆ อย่างอะตอมและอนุภาคเล็กๆ ที่จะสามารถนำมาสร้างสิ่งประดิษฐ์ที่น่าอัศจรรย์ต่างๆได้)มาเปลี่ยนรากฐานของการประมวลผลคอมพิวเตอร์แบบดังเดิม ให้เป็นการประมวลผลแบบควอนตัมคอมพิวเตอร์ที่มีพลังในการคำนวณที่เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล
บริษัท McKinsey & Company ซึ่งเป็นหนึ่งในบริษัทผู้ให้คำปรึกษาชั้นนำระดับโลก ได้ระบุไว้ในงานวิจัยเรื่อง“McKinsey Technology Trends Outlook 2022” ว่าควอนตัมเทคโนโลยีเป็นหนึ่งในเทคโนโลยีที่โลกต้องจับตามอง เพราะเป็นเทคโนโลยีที่สามารถนำไปพัฒนาต่อยอดและสร้างการประยุกต์ใช้ได้อย่างหลากหลายมากมาย อย่างไรก็ตาม ในบทความนี้ ผู้เขียนมีความตั้งใจที่จะนำเสนอการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีควอนตัมที่เน้นมุมมองเชิงธรุกิจ โดยเฉพาะในโลกยุคปัจจุบันที่มีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรเข้าสู่ “สังคมสูงวัย” อีกด้วย
อาทิ “การป้องกันโรคล่วงหน้า” เทคโนโลยีควอนตัมสามารถมีบทบาทสำคัญในการทำให้เรารู้ได้ว่าร่างกายกำลังจะเผชิญ หรือเข้าใกล้ความเสี่ยงของการเป็นโรค โดยหนึ่งในการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีควอนตัมที่เรียกว่า “ควอนตัมเซ็นซิงค์ (Quantum Sensing)” ที่อาศัยความรู้และความเข้าใจในคุณสมบัติของอนุภาคเล็กๆ ในการปฏิวัติเครื่องวัดแบบดังเดิม (Traditional Sensors) โดยควอนตัมเซ็นซิงค์จะอาศัยการตรวจจับการเปลี่ยนแปลงในระดับ “อะตอม”ในการเพิ่มความละเอียดและความแน่นอนในการวัด
“ถ้าจะเปรียบเทียบ..การตรวจร่างกายแบบดังเดิมก็จะคล้ายๆ กับคนที่สายตาไม่ค่อยดี สายตาสั้นซึ่งจะมองเห็นภาพแบบเบลอๆ ไม่ค่อยละเอียด ไม่ชัดเจนและไม่ค่อยมีความแน่นอน กว่าจะเห็นว่ามีสิ่งผิดปกติที่เกิดขึ้น ก็จะต้องเป็นสิ่งผิดปกติที่มีขนาดใหญ่มากๆ หรือก็คือต้องผิดปกติมากจริงๆ ถึงจะเห็น ซึ่งมักจะสายเกินที่จะแก้ แต่ในทางกลับกันการตรวจร่างกายแบบควอนตัมเซ็นซิงค์จะสามารถเห็นการเปลี่ยนแปลงหรือความผิดปกติในระดับอะตอม ซึ่งก็คือการมีความสามารถในการตรวจพบความผิดปกติในช่วงแรกๆ ของโรคนั้นๆ ได้”
ในปัจจุบันเทคโนโลยีควอนตัมเซ็นซิงค์มีการศึกษาวิจัยเพิ่มมากขึ้น เช่น สถาบันวิจัยควอนตัมคอมพิวติ้ง (Institute for Quantum Computing) ของมหาวิทยาลัยวอเตอร์ลู (Universityof Waterloo) ในประเทศแคนาดา ซึ่งเป็นหนึ่งในสถาบันชั้นนำของโลกในงานวิจัยด้านกลศาสตร์ควอนตัม (QuantumMechanics) มีโครงการศึกษาที่เกี่ยวกับการสร้างอุปกรณ์ที่ตรวจจับความผิดปกติของดวงตาที่ทำให้เกิดโรคจอประสาทตาเสื่อม (Macular Degeneration) ที่เป็นสาเหตุทำให้ผู้สูงวัยจำนวนไม่น้อยต้องสูญเสียการมองเห็นเพราะไม่สามารถตรวจพบและรักษาได้อย่างทันท่วงที
อีกตัวอย่างที่น่าสนใจคือนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยซัสเซ็กซ์ (University of Sussex) ในประเทศอังกฤษ ได้ศึกษาการใช้เทคโนโลยีควอนตัมเซ็นซิงค์และพัฒนาอุปกรณ์ที่สามารถวัดคลื่นสมองที่มีความละเอียดสูง โดยอุปกรณ์นี้สามารถตรวจพบความผิดปกติทางสมองที่เป็นสัญญาณของโรคอัลไซเมอร์ (Alzheimer’sdisease) และ โรคพาร์กินสัน (Parkinson’s disease) ในช่วงระยะแรกๆ ได้
หรือจะเป็น “การปฏิวัติโลกการสื่อสาร” คือการใช้องค์ความรู้ทางควอนตัมทำให้เกิดการสื่อสารที่มีความปลอดภัยสูงมากๆ โดยอาศัยหลักการที่เรียกว่า “Superposition” หรือ “การซ้อนทับของควอนตัม” ที่สามารถทำให้อนุภาคขนาดเล็กๆ ที่เราจะใช้ในการส่งข้อมูล หรืออาจจะเป็นการส่งกุญแจที่จะต้องใช้ในการเปิดข้อมูล อยู่ในสถานะ “พิเศษ” ที่เมื่อมีผู้ไม่หวังดีมา “แอบดู” หรือ “แฮก (Hack)” ข้อมูลที่เคยอยู่ในสถานะพิเศษนี้(สถานะ Superposition) ความพิเศษจะหายไปทันที และทิ้งร่องรอยของการถูกแอบดูเอาไว้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
“หลายคนกล่าวว่า ในอนาคตข้อมูลจะมีค่ามากกว่าน้ำมันหรือแม้แต่ทองคำ หากเราเชื่อในคำกล่าวนี้ ในอนาคตการรักษาความปลอดภัยของข้อมูลจะมีมูลค่าและมีความสำคัญอย่างมหาศาลเช่นกัน ในทุกๆ วันเราทุกคนมีความเกี่ยวข้องกับข้อมูลที่ต้องการความปลอดภัยในการรับส่งอยู่หลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลการทำธุรกรรมทางการเงิน ข้อมูลการจับจ่ายใช้ส่อยผ่านอี-คอมเมิร์ซ ข้อมูลจากกล้องวงจรปิด ข้อมูลการประชุมผ่านเว็บแคม ข้อมูลการยืนยันตัวตนกับหน่วยงานราชการ หรือแม้แต่การรับส่งข้อมูลที่เป็นความลับขององค์กร”
นอกจากนี้ ในอนาคตเราทุกคนมีแนวโน้มที่จะมีความเกี่ยวข้องกับข้อมูลที่ต้องการความปลอดภัยในการรับส่งมากขึ้นไปอีก ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลจากอินเตอร์เนตในทุกสิ่ง (Internet of Things) ที่เราทุกคนจะมีจำนวนอุปกรณ์ที่ต่อเชื่อมและรับส่งข้อมูลผ่านอินเตอร์เนตมากขึ้นไปเรื่อยๆ รวมทั้งการใช้งาน Cloud Computing หรือการใช้บริการการประมวลผลผ่านเครือข่ายทั้งระดับบุคคลและระดับองค์กรที่จะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอีกมาก ดังนั้นธุรกิจทุกชนิดที่เกี่ยวข้องกับข้อมูล (ซึ่งอาจจะหมายถึงทุกประเภทธุรกิจเลยก็ว่าได้) สามารถถูกดิสรัป (Disrupt) จากเทคโนโลยีการสื่อสารเชิงควอนตัมที่จะสามารถให้ความปลอดภัยของการรับส่งข้อมูลด้วยวิธีการที่ใหม่และดีกว่า
กล่าวโดยสรุป เทคโนโลยีควอนตัมถือเป็นนวัตกรรมที่สำคัญที่สามารถจะดิสรัป (Disrupt) และสร้างการเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรมต่างๆ โดยใช้ประโยชน์จากหลักการของกลศาสตร์ควอนตัม อาทิ มีศักยภาพในการปฏิวัติการดูแลสุขภาพผ่านการตรวจจับด้วยควอนตัม ทำให้สามารถตรวจพบโรคได้เร็วขึ้นและส่งผลในด้านการป้องกันแต่เนิ่นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสังคมผู้สูงวัย
นอกจากนี้ การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีควอนตัมในการสื่อสารสามารถนำไปสู่ระบบที่มีความปลอดภัยสูงเป็นพิเศษ โดยเน้นย้ำถึงความสำคัญที่เพิ่มขึ้นของการรักษาความปลอดภัยของข้อมูล ขณะที่เทคโนโลยีควอนตัมได้รับการวิจัยและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ผลกระทบจากงานวิจัยและพัฒนาดังกล่าวที่แผ่กว้างออกไปนั้นมีศักยภาพในการกำหนดอนาคตที่ดีขึ้นและมีประสิทธิภาพมากขึ้นสำหรับทุกคน
ดังนั้น ควอนตัม (Quantum) เทคโนโลยีเป็นนวัตกรรมดีๆที่หลายคนคงเริ่มมองเห็นประโยชน์มากขึ้นแล้ว!!!
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี