วันพุธ ที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2568
แนวหน้า
  • แนวหน้า
  • หน้าแรก
  • คอลัมน์
    • คอลัมน์วันนี้
    • คอลัมน์ออนไลน์
    • คอลัมน์การเมือง
    • คอลัมน์ลงมือสู้โกง
    • โลกธุรกิจ
    • ผู้หญิง
    • บันเทิง
    • Like สาระ
    • ดูทั้งหมด
  • ข่าวเด่น
  • พระราชสำนัก
  • การเมือง
  • โลกธุรกิจ
  • อาชญากรรม
  • กทม.
  • ในประเทศ
  • เกษตร
  • ต่างประเทศ
  • กีฬา
  • ผู้หญิง
  • บันเทิง
  • ยานยนต์
  • Like สาระ
หน้าแรก / ข่าว Like สาระ
บทความพิเศษ : เด็กเกิดต่ำเป็นประวัติการณ์  สวนทางนโยบายมีลูกเพื่อชาติ

บทความพิเศษ : เด็กเกิดต่ำเป็นประวัติการณ์ สวนทางนโยบายมีลูกเพื่อชาติ

วันอาทิตย์ ที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2568, 07.00 น.
Tag : บทความพิเศษ
  •  

“เป็นปีที่ 4 อัตราเพิ่มประชากรไทยติดลบ เพราะเด็กเกิดน้อยกว่าคนตาย”เด็กไทยเกิดปี 2567 มีจำนวน 461,421 คน ซึ่งเป็นครั้งแรกในรอบ 70 ปี ที่ประเทศไทยมีจำนวนเด็กเกิดไม่ถึง5 แสนคนต่อปี แนวโน้มจำนวนเด็กเกิดลดลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสวนทางกับนโยบายของรัฐบาลที่ให้ “มีลูกเพื่อชาติ” โดยสถิติการเกิดของประเทศไทย ณ เดือน ม.ค. -ธ.ค. 2567 จากข้อมูลของสำนักบริหารการทะเบียน กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย มีจำนวนทั้งสิ้น 461,421 คน แบ่งเป็นชาย 238,070 คน หญิง 223,351 คน

“การติดตามสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงของประชากรมาอย่างต่อเนื่องของสถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล พบว่า ประเทศไทยเคยมีเด็กเกิดเกิน 1 ล้านคนต่อปีในช่วงปี 2506-2526 และเคยมีเด็กเกิดจำนวนสูงสุดในปี 2514 มากถึง 1,221,228 คน ตั้งแต่ปี 2527 เป็นต้นมา จำนวนเด็กเกิดในประเทศไทยได้ลดลงอย่างต่อเนื่อง จนมีจำนวนเด็กเกิดต่ำ 6 แสนคนตั้งแต่ปี 2562 จำนวนเด็กเกิดได้ลดต่ำลงมาอีก จนในปี 2567 เด็กเกิดในประเทศไทยได้ลดลงมาต่ำกว่า 5 แสนคนเป็นปีแรก”


สถานการณ์เด็กเกิดน้อยเป็นปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อโครงสร้างประชากร โดยจะเร่งการสูงวัยของประชากรไทยให้เร็วขึ้น จำนวนเด็กเกิดที่ลดลงอย่างมากนี้ ทำให้อัตราส่วนผู้สูงอายุต่อประชากรทั้งหมดเพิ่มสูงขึ้น ประเทศไทยได้กลายเป็นสังคมสูงวัยเมื่อปี 2548 คือมีผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไปคิดเป็น 10% ของประชากรทั้งหมด จากนั้นประเทศไทยใช้เวลาอีกเพียงไม่ถึง 20 ปี จนกลายเป็นสังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์ในปี 2567 (อัตราส่วนผู้สูงอายุเกินกว่า 20%ของประชากรทั้งหมด)

“คนไทยเห็นด้วยว่า เด็กเกิดน้อยเป็นวิกฤตของประเทศ” สถาบันวิจัยประชากรและสังคมฯ ได้สำรวจความเห็นประชาชนไทยจำนวน 1,042 คน เพื่อสอบถามความคิดเห็นในประเด็น “สถานการณ์เด็กเกิดน้อยและสังคมสูงอายุ” ในช่วงเดือน พ.ย. - ธ.ค. 2567 พบว่า 71% ของผู้ตอบแบบสำรวจเห็นด้วยว่าจำนวนเด็กเกิดน้อยเป็นวิกฤตของประเทศ 44% เห็นด้วยกับนโยบายส่งเสริมให้คนไทยมีลูกมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม ผู้หญิงเพียงประมาณครึ่งหนึ่งเท่านั้นที่เห็นด้วยว่าจะมีลูกถ้าอยู่ในสถานะที่พร้อมจะมีลูก โดยสัดส่วนผู้ชายตอบว่าจะมีลูกถ้าอยู่ในสถานะที่พร้อมมากกว่าผู้หญิง (ชาย 60% ต่อ หญิง 53%) ประชาชนที่อยู่ในสถานะสมรส ซึ่งมีสัดส่วนประมาณ 1 ใน 5 ของผู้ตอบแบบสำรวจทั้งหมด เพียง 39% ที่ตัดสินใจมีลูกอย่างแน่นอน 30% คิดว่าอาจจะตัดสินใจมีลูก 20% จะไม่มีลูก แบบสำรวจถามด้วยว่า ถ้าท่านมีคู่รักหรือมีคู่แต่งงานแล้ว ยังมีสุขภาพแข็งแรง และอยู่ในวัยที่มีลูกได้ 53% ตอบว่าจะมีลูก

โดยเจนเนอเรชัน X ขึ้นไปมีสัดส่วนมากที่สุด (60%) รองลงมาคือ เจนเนอเรชัน Z (55%) และ Y (44%) ตามลำดับ ผลสำรวจสะท้อนให้เห็นว่า การตัดสินใจมีลูกมีความแตกต่างกันระหว่างเจนเนอเรชัน โดยกลุ่มเจนเนอเรชัน X มีแนวโน้มที่จะมีลูกสูงที่สุดเมื่อเทียบกับกลุ่มอื่น ในขณะที่เจนเนอเรชัน Y มีสัดส่วนความตั้งใจมีลูกต่ำที่สุด ปัจจัยที่อาจส่งผลต่อการตัดสินใจดังกล่าว อาจรวมถึงความมั่นคงทางเศรษฐกิจ ค่านิยมของแต่ละช่วงวัย และปัจจัยทางสังคมอื่นๆ เช่น ค่าครองชีพที่สูงขึ้นและความกังวลเกี่ยวกับความสมดุลระหว่างการทำงานและการเลี้ยงดูบุตร

“การที่ประชากรเพียง 1 ใน 3 ของผู้ที่อยู่ในสถานะสมรส (36%) ยืนยันว่าจะมีลูก อาจเป็นสัญญาณที่แสดงถึงแนวโน้มอัตราเกิดที่ลดลง” ซึ่งเป็นประเด็นสำคัญที่ควรได้รับการพิจารณา หากรัฐบาลต้องการสนับสนุนให้มีจำนวนเด็กเกิดเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ กรมกิจการเด็กและเยาวชน กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ พยายามผลักดันให้มีนโยบายเงินอุดหนุนเด็กแรกเกิดไปจนถึงอายุ 6 ปีแบบถ้วนหน้า แทนการสงเคราะห์เฉพาะผู้ปกครองในครัวเรือนรายได้น้อย (ครัวเรือนที่สมาชิกมีรายได้เฉลี่ยไม่เกิน 100,000 บาท ต่อคน ต่อปี) ที่ปัจจุบันได้รับเงินอุดหนุนฯ ในอัตรา 600 บาท ต่อคนต่อเดือน

ส่วนผู้ประกันตนในระบบประกันสังคม จะได้รับเงินอุดหนุนตามมาตรา ม.33 ม.39 จำนวน 800 บาทต่อคนต่อเดือน ส่วน ม.40 จำนวน 200 บาทต่อคนต่อเดือน อย่างไรก็ตาม “ผลการสำรวจความเห็นประชาชนไทยพบว่า ประมาณครึ่งหนึ่งเท่านั้น (49%) ที่เห็นด้วยว่าเงินอุดหนุนเด็กแรกเกิดจะช่วยส่งเสริมให้คนไทยมีลูกมากขึ้น” สะท้อนให้เห็นว่า เงินอุดหนุนเด็กแรกเกิดเพียงอย่างเดียวไม่น่าจะทำให้คนไทยมีลูกเพิ่มขึ้นตามนโยบายของรัฐบาล

“การเกิดที่วัดด้วยอัตราเจริญพันธุ์รวม” ซึ่งหมายถึงจำนวนลูกเฉลี่ยที่ผู้หญิงคนหนึ่งจะมีตลอดวัยเจริญพันธุ์ของประเทศต่างๆ ทั่วโลกเกินกว่าครึ่งหนึ่ง ต่ำกว่า 2.1 คน กล่าวคือ จำนวนเด็กเกิดใหม่ต่ำกว่าระดับทดแทนพ่อและแม่ ปัจจุบัน ประเทศในเอเชีย เช่น เกาหลีใต้ สิงคโปร์ จีน รวมทั้งประเทศไทยมีอัตราเจริญพันธุ์รวมต่ำมาก ทั้งนี้ รัฐบาลในหลายประเทศมีความพยายามจะสนับสนุนให้ประชากรของตนมีลูกเพิ่มขึ้น แต่ก็ยังไม่สามารถทำให้อัตราเจริญพันธุ์รวมของประเทศเพิ่มขึ้นได้มากนัก

ตั้งแต่ปี 1980 (2523) เป็นต้นมา สิงคโปร์ได้ดำเนินการมาตรการทางภาษีและเงินอุดหนุนหรือสมทบ นโยบายควบคุมและส่งเสริมการเกิดพิจารณาตามลำดับที่บุตร บริการหาคู่ นอกจากนี้ รัฐบาลยังตระหนักถึงสภาพแวดล้อมที่มีผลกระทบต่อการตัดสินใจมีบุตรและการดูแลบุตร จึงสนับสนุนโครงการสมดุลชีวิตกับงาน (work-life balance) การเพิ่มจำนวนและคุณภาพของสถานเลี้ยงเด็ก แม้จะมีมาตรการส่งเสริมการเกิดหลายอย่าง แต่อัตราเจริญพันธุ์รวมของสิงคโปร์ก็ลดลงอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันเหลือเพียง 0.94 เท่านั้น

ทั้งนี้เป็นเพราะความกดดันทางเศรษฐกิจ ภาวะความเครียด วิถีชีวิตที่เร่งรีบ การเสียโอกาสการทำงานของแม่ และที่สำคัญคือค่าครองชีพที่สูงขึ้นทำให้ค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงดูบุตรสูงมากจนความช่วยเหลือที่รัฐบาลสนับสนุนไม่เพียงพอ นอกจากนี้เกาหลีใต้เป็นอีกประเทศที่มีอัตราเจริญพันธุ์รวมต่ำที่สุดในโลก (0.72) และได้กลายเป็นสังคมสูงวัยระดับสุดยอด (super-aged society) อย่างเป็นทางการแล้ว โดยมีประชากรอายุ 65 ปีขึ้นไปคิดเป็น 20% ของประชากรทั้งหมด

แม้จะมีนโยบายส่งเสริมการมีบุตร แต่ยังจำเป็นต้องมีมาตรการที่สอดคล้องกับความต้องการและข้อกังวลของประชาชน เช่น การสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงดู การเพิ่มสวัสดิการสำหรับครอบครัว และการสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเลี้ยงดูบุตรอย่างสมดุล การลดช่องว่างระหว่างความตระหนักรู้และการลงมือปฏิบัติจริงจะเป็นกุญแจสำคัญในการแก้ไขปัญหานี้ เพื่อสร้างอนาคตที่ยั่งยืนสำหรับโครงสร้างประชากรไทย!!!

หมายเหตุ : บทความนี้เดิมชื่อ “จำนวนเด็กไทยเกิดต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ สวนทางนโยบายมีลูกเพื่อชาติ” เขียนโดย รศ.ดร.จงจิตต์ ฤทธิรงค์ รองผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล ซึ่งได้รับการปรับปรุงเนื้อหาบางส่วนให้เข้ากับพื้นที่ของฉบับหนังสือพิมพ์


SCOOP@NAEWNA.COM
 

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

  • บทความพิเศษ : SME ไทยต้องพร้อมแข่งขันในเวทีโลก! บทความพิเศษ : SME ไทยต้องพร้อมแข่งขันในเวทีโลก!
  • บทความพิเศษ : นายกสืบสันดาน  นิติกรรมอำพราง หลบภาษี? บทความพิเศษ : นายกสืบสันดาน นิติกรรมอำพราง หลบภาษี?
  • บทความพิเศษ : ส่องการศึกษาไทย  ในยุคที่เด็กเกิดน้อย บทความพิเศษ : ส่องการศึกษาไทย ในยุคที่เด็กเกิดน้อย
  • บทความพิเศษ : ‘Climate Change’  โอกาส-ความเสี่ยง‘ตลาดทุน’ บทความพิเศษ : ‘Climate Change’ โอกาส-ความเสี่ยง‘ตลาดทุน’
  • บทความพิเศษ : ‘ประชัย’ออกโรงจี้‘แบงก์ชาติ’คุมค่าเงินบาท ชี้อย่างน้อยต้อง37บาทต่อดอลลาร์ บทความพิเศษ : ‘ประชัย’ออกโรงจี้‘แบงก์ชาติ’คุมค่าเงินบาท ชี้อย่างน้อยต้อง37บาทต่อดอลลาร์
  • บทความพิเศษ : เปรียบเทียบค่าเงิน‘ไทย-เวียดนาม’ในรอบ 20 ปี  ส่งผลกระทบ‘สินค้าไทย’แพ้ยับเยิน บทความพิเศษ : เปรียบเทียบค่าเงิน‘ไทย-เวียดนาม’ในรอบ 20 ปี ส่งผลกระทบ‘สินค้าไทย’แพ้ยับเยิน
  •  

Breaking News

‘พันธุ์ใหม่’จี้‘นายกฯ’รับผิดชอบ เซ่นปมคลิปเสียง ดักคอ'กองทัพ'อย่าปฏิวัติยึดอำนาจ

‘ตม.อุบลราชธานี’จัดหนัก ระดมกวาดล้าง ร่วมจับผู้ต้องหาตามหมายจับ 5 คดี

‘เฉลิมชัย’ชี้ปรับ ครม.เป็นอำนาจ‘นายกฯ’

ลาออกทันที! 'หมอวี'จี้นายกฯอิ๊งค์หยุดปฏิบัติหน้าที่ เซ่นคลิปลับอังเคิล'ฮุนเซน'

Back to Top

ผู้ดูแลเว็บไซต์ www.naewna.com
webmaster นางสาวอัญชะลี ไพรีรัก
ดูแลรับผิดชอบข่าว/ภาพ/โฆษณา/ข้อมูลอื่นที่เกียวข้องกับเว็บไซต์
กรรมการบริษัทฯ, กรรมการผู้มีอำนาจ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการนำเสนอข่าว/ภาพ/ข้อมูลใดๆในเว็บไซต์ทั้งสิ้น

Social Media

  • หน้าแรก |
  • เกี่ยวกับแนวหน้า |
  • โฆษณากับเรา |
  • ร่วมงานกับเรา |
  • ติดต่อแนวหน้า |
  • นโยบายข้อตกลง
Copyright © 2017 Naewna.com All right reserved